Episodes

Wednesday Jul 29, 2020
เรื่องธรรมดาที่วิเศษ พจ.กระสินธุ์ 240763
Wednesday Jul 29, 2020
Wednesday Jul 29, 2020
เทศนาธรรม เรื่องธรรมดาที่วิเศษ
42:00 ถาม_ตอบ ช่วงท้าย
54:30 พอจ.สวดให้พร
โดยพระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
วันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องไลน์ฟังธรรม
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Sunday Jul 26, 2020
ตั้งประเด็นฝึกฝืนนอก-ฝืนใน พจ.กระสินธุ์ 080763
Sunday Jul 26, 2020
Sunday Jul 26, 2020
การโค้ชพี่เลี้ยง ภาคฝืน3 โครงการรู้ขณิกะออนไลน์
โดยพระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
วันที่ 8 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องกลุ่มไลน์
🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔸️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️ ❤ ❤ ถามตอบ ฝึกฝืนแยกนอก-ใน.( รูป-นาม)❤ ❤ 🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔸️🔹️🔸️🔹️ 1 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
🙋♀️นักปฎิบัติ: พอจค่ะ โยมขออนุญาติค่ะ โยมเป็นคนที่ชอบกินทุเรียนมาก. เห็นแล้วอดใจไม่ได้คือ อยากเลย แต่ว่าเราเห็นความอยาก. เราฝืนไม่ไปทำอะไรกับความอยาก คือไม่เดินไปหา ไม่อะไรกับมัน อันนี้คือฝืน 'ใน'ถูกตัองมั้ยค่ะ?
😇พอจ.กระสินธุ์: ถ้าท้ังเห็นและอยากด้วยอันนี้จะเป็นทั้งนอกและในเลย. แต่ไม่เห็นทุเรียนคิดอยากจะกินทุเรียน. อันนี้จะเรียกว่าข้างใน ข้างในล้วนๆเลยหล่ะ
🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️ 2 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
🙋♀️นักปฎิบัติ: อยากก่แฟแต่ไม่ไปดีกว่า ไม่เห็นกาแฟเลยอยากกินร้านกาแฟร้านอเมซอน อยากกินมากแต่ไม่ไป
😇พอจ.กระสินธ์ุ: นี่แหละฝืนใน
จำง่ายๆ เมื่อมีวัตถุสิ่งนั้นด้วยแล้วต้องฝืนด้วยนี่คือ ท้ังนอกและใน.
แต่เมื่อวัตถุสิ่งนั้นไม่มี แต่เรานึกคิดถึงมันอันน้นฝืนในล้วนๆ ไม่มีข้างนอกโยม
ดีมาก ตรงจุดนี้จะจำได้ชัดเจนว่า อ้อ วิธีการฝืนนอก ฝืนในเป็นแบบนี้
บางครั้งต้องฝืนพร้อมๆกันไปเลย เมื่อมันมีวัตถุสิ่งนั้นด้วย และมีความอยากด้วย. อันนี้เค้าเรียกทั้งนอกท้ังใน แต่บางครั้งวัตถุอันนั้นไม่มีแต่มีความอยากข้างใน นี่คือฝืนข้างในล้วนๆเลย
🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️ 3 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
🙋♀️นักปฎิบัติ: สมมุติว่าเราไม่ชอบใครบางคน ไม่ชอบมากๆเลย. แต่เราเจอเค้าทุกวัน เราก็ตั้งข้อฝืนว่าเราจะไม่พูดถึงเค้า. เราจะไม่ผสมโรง เราจะไม่อะไรกับเค้าเลย อันนี้ก็เป็นในมั้ยค่ะ
😇 พอจ.กระสินธ์ุ: ถ้าเราเจอกับเขาในปัจจุบันปั้บ นี่เป็นทั้งนอก/ทั้งในเลย
🙋♀️ นักปฎิบัติ: ก็เหมือนวัตถุ
😇พอจ.กระสินธ์ุ: ถ้าบางครั้งไม่เจอหน้าเขาแต่คิด ไม่เจอแต่เห็นของของเขาบ้าง เห็นรถของเขาบ้าง แล้วมันคิดขึ้นมาปุ้ป คือฝืนในเลย
แต่ให้จำไว้เลยว่า ข้างในหลักของมันคือ ฝืนที่จะไม่ทำอะไรกับมัน. ให้มันไม่ชอบแต่ฉันไม่ได้ต่อ เพื่อจะจำลักษณะที่ไม่ชอบได้ชัดเจน จำลักษณะของอารมณ์ได้ชัดเจน. จำความทุกข์ของมันได้ชัดเจนมันจะได้เข็ด. ถึงจะเรียนรู้ได้เต็มที่
🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️
4 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
🙋♀️นักปฎิบัติ: สมมุติตั้งข้อฝืนว่าเราจะไม่ทำสื่งที่เราชอบ อันนี้ก้อเป็นในใช่มั้ยค่ะ?
คือไม่ว่าอะไร. พอเราเจอปุ้ป คือมันออกจะเป็นท้ังนอกและใน. แต่ว่าโยมคิดว่ามันอาจจะเป็นนอก. และในคือเห็นปุ้ป จะเป็นทั้งนอกและใน แต้ถ้าเราไม่เห็นก็เป็นในอย่างเดียว
พอจ.กระสินธ์ุ: ถูกต้อง
🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️
5 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
นักปฎิบัติ: ถ้าสมมุติว่าเป็นอย่างอื่นเช่นมันเป็นอากาศ เสียง กลิ่น รส ที่เข้ามาปุ๊บ แล้วเรา พอใจหรือไม่พอใจและเราก็ฝืนที่จะไม่เวอร์. ฉันไม่แสดงออกไป ไม่โวยวาย ไม่แสดงวจีกรรม กายกรรม อันนี้คือจริงๆแล้วเป็นฝืนใน ใช่มั้ยค่ะ
พอจ.กระสินธุ์: ใช่ แต่ว่าในเวลาเดียวกัน อย่างเช่น อากาศมันเย็นๆพอมีความเย็นเกิดข้ึนมาปั้ป นี่คือข้างนอกแล้วน๊ะ แล้วเกิดความพอใจข้างในปุ้ป อ้อนี่พอใจนะ
ก็จะฝืนความพอใจอันนี้ จังหวะนี้คือเรื่องข้างนอกด้วยข้างในด้วยเพราะมันเป็นจังหวะปัจจุบัน ที่ความเย็นมากระทบกับเราพอดี และความชอบเกิดขึ้นพอดี และเราตั้งเจตนาที่จะฝืนเมื่อชอบแล้วเราจะไม่ทำตาม และจะไม่เว่อร์มัน ไม่ทำตามมันดูมันเฉยๆ
🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️
6 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
🙋♀️นักปฎิบัติ: เช่นสมมุติว่าเราเดินไป แล้วเรามีพัดลมส่ายมา แล้วเรากำลังร้อนอย่างนี้ การฝืนไม่ทำสิ่งที่เราชอบ
ก็อย่างเช่นเราจะไม่เดินไปจ่อเดินตรงอยู่หน้าพัดลมเลย อย่างนี้ใช่ เราจะไม่ทำในสิ่งที่เราชอบก็ประมาณนี้
พอจ.กระสินธ์ุ: ถูกต้องจริงๆไม่น่ายากเลย
นักปฎิบัติ: มันยากตรงนี้ค่ะ มันยากตรงที่ทุกเรื่องมันจะมีท้ังการกระทำ และมีทั้งข้างนอกและ ข้างใน อันนี้มันก้อเป็นนอกน๊ะ อันนี้ก็เป็นในได้น๊ะ เหมือนที่โยมฝืนจะไม่ทานข้าวเย็น. โอ้โหเราเคยทานมาทั้งชีวิต และเราก้อฝืนจริงๆ เราฝืนใจเรามากเลย แล้วทำไมไมเรียกว่าเป็นฝืนใน ทำไมจึงเป็นการฝืนนอก คือจริงๆมันมีฝืนข้างนอกที่จะไม่กิน และ ฝืนใจข้างในที่จะไม่ทำตามมันก็เลยเกิดความสับสนค่ะ โยมเข้าใจ
โยมอีกท่านนึง น๊ะค๊ะ เพราะโยมเคยเป็น ว่าของบางอย่าง มันเป็นได้ทั้งสองอย่าง
😇พอจ.กระสินธ์ุ: ของบางอย่างมันเป็นได้อย่างเดียว
🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️
7 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
🙋♀️นักปฎิบัติ: สมมุติบางคนบอกเค้าจะฝืนให้ตื่นเช้าๆตี5ทุกวัน อันนี้จะวัดเป็นฝืนอะไร
😇พอจ.กระสินธุ์: อันนี้ได้ทั้งนอกและในเลยแหละ เค้าตั้งใจฝืนตื่นตี5ทุกวัน อันนี้ฝืนนอกเพราะว่า ประเด็นเค้าคือตี5
เมื่อถึงตี5แล้วโอ้ย มันขี้เกียจมันอึดอัดเค้าก้อฝืนข้างในหล๊ะ. ต้องลุกขึ้นมา นี่คือเค้าตั้งโจทย์ข้างนอก ตี5เค้าต้องตื่นขึ้นมาทุกวัน พอถึงเวลาตี5 ปุ้ป โอ้ยขี้เกียจไม่อยากลุกเลย. ต้องลุกมายืนผลักดันตัวข้างในเค้าหล๊ะ ให้มันลุกออกมาตามข้างนอก บางคนตั้งโจทย์ฝืนข้างนอก แต่ก้อมีผลข้างในด้วย
🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️
8 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
🙋♀️นักปฎิบัติ: ขอถามอีกประเด็นค่ะว่าเค้าตั้งประเด็นจะไม่ขับรถเร็ว และจะไม่แซงชาวบ้าน พยายามไม่ขับรถเร็ว อันนี้เป็นนอกใช่มั้ยค๊ะ
😇พอจ.กระสินธุ์: ใช่ ให้นึกถึงว่าคนถ้าใช้กับวัตถุ เช่นไม่ขับรถเร็วบ้าง ฉันจะไม่ฟังเพลง อันนี้คือนอก ฉันจะไม่เอากลิ่นที่ฉันชอบหรือจะไม่ไปกิน อาหารรสที่ฉันชอบ หรือจะไม่เอาผัสสะทางกายที่ดีอันนี้นอกทั้งหมด
นอกมีอยู่ 5 เรื่องนี่เเหละได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันนี้คือนอก ตีไปเลย ในคือ พอใจ ไม่พอใจ ความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความชัง คือข้างใน แยกไปอย่างนี้เลย. จะขับรถเร็ว ไม่แซงใคร นี่คือข้างนอก แต่จะมีผลสู่ข้างในของมันเองเสร็จเเหละ
😇 โจทย์ไม่ กินทุเรียน โจทย์ไม่กินข้าวเย็น ตั้งโจทย์ที่จะอะไรพวกนี้นี่คือตั้งโจทย์ข้างนอก แต่ข้างในก็จะฝืนไปด้วย
🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔹️🔸️🔹️ 9 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
🙋♀️นักปฎิบัติ: ขอทำความเข้าใจอีกนิดนึงค่ะ คือการที่จะให้เขากำหนดฝืนหลักหรือฝืนรอง
เค้าอาจจะมีนอกหรือในก็ได้ แต่ทุกเรื่องที่ฝืนมันไม่พ้นเรื่องข้างใน มันอาจไม่มีนอกแต่ทุกเรื่องจะต้องฝืนในทุกเรื่องเลยใช่มั้ยค๊ะ
😇พอจ.กระสินธ์ุ : ใช่ เป้าหมายคือบางคนจะฝึกแบบนี้ ตั้งใจประเด็นใน เวลาฉันชอบอะไร ฉันโกรธอะไรฉันจะไม่พูด ตั้งประเด็นข้างในไง เวลาฉันโกรธฉันจะไม่พูด. ฉันจะไม่ทำนี่คือการตั้งประเด็นข้างใน
แต่บางคนเค้าตั้งประเด็นข้างนอก เช่น ฉันชอบกินกาแฟ ต่อไปฉันจะไม่กินกาแฟ อันนี้ตั้งประเด็นฝืนข้างนอก. แต่จะมีผลข้างในด้วย อยู่ที่เขาตั้งประเด็นตะหาก 🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️ 10 ถามตอบการฝึกฝืน นอก-ใน (รูป-นาม ) กับ พอจ กระสินธุ. อนุภ้ทโท
10🙋♀️นักปฏิบัติ: โกรธมันไม่มีวัตถุ ไม่มีตัวให้เราเห็นแต่มันอยู่ในใจเรา แล้วเราโกรธ แต่ตัวกาแฟเราเห็นเป็นตัวนอกคือเราไม่กิน
😇พอจ.กระสินธ์ุ: คือมันเป็นรูป นี่แยกให้ชัดอันไหนรูปอันไหนนาม เพราะจะต้องฝึกให้เห็นทั้งรูปและ นาม เพราะมันมีเรื่อง2เรื่องนี้เท่านั้น ที่จะทำให้จิตมันออกมาให้ได้ ให้จิตเป็นอิสระ ของเรื่อง2เรื่องนี้ให้ได้ ไม่งั้น2เรื่องนี้จะปั่นให้จิตของเราปั่นป่วน เข้าใจน๊ะ ทุกคน พอเข้าใจน๊ะ
🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔸️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️ ❤ อยากให้ตั้งประเด็นฝืนข้างใน ❤ 🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔹️🔸️🔸️🔹️🔸️🔹️
❤อาตมาอยากให้ทุกคนตั้งประเด็น ฝืนข้างในที่จะไม่ทำอะไรกับทุกสภาวะ
ตั้งใจจะไม่ทำอะไรกับทุกเรื่องของมันเลย แต่จะเรียนรู้การกระทำของมัน อันนี้อยากให้ฝืนตรงจุดนี้ เพราะทุกคนจะมีประเด็น อยู่ด้านนึง เวลามีอะไรปุ้ปข้างในเราชอบทำงาน. ไม่ชอบดูการทำงานของมัน เราชอบไปทำงานแทนมัน ตัวนี้เราหัดฝืนให้ดีๆ เพราะมันจะเป็นอุปนิสัยต่อไปภายหน้า. ทำให้เราพ้นจากอารมณ์ได้ เพราะอารมณ์มันทำงานกันอยู่แล้ว แต่เราดันเข้าไปทำงานแทนมันกันเอง
❤อีกอันนึงน๊ะทุกคน ถ้าเราฝึกข้างนอกมากๆเข้า มันจะได้แค่ขั้นศีล ฟังดีๆน๊ะ เพราะมันจะควบคุมแค่... กายกรรม กับวจีกรรม เท่านั้นเอง
แต่ถ้าเราฝืนข้างใน จะเป็นขั้นของปรมัตถ์ ขั้นของจิตที่มันกำลังเผชิญอารมณ์ตรงๆ เช่นมีความโกรธแล้วฉันจะไม่พูดไม่ทำ
นี่ เค้าเรียกฝืนข้างใน จะเป็นขั้นของปรมัตถ์ ฝึกจิตไห้ฝึกรู้กับภาวะ นั้นตรงๆเลยไม่ทำตาม แต่ข้างนอกถ้าเราไม่ทำตามปุ๊ป กายกรรมวจีกรรมไม่ทำตาม มันจะได้แค่ขั้นศีลเข้าใจมั้ย❤
เครดิตถอดคำบรรยาย. คุณจี๊ด เครดิตเรียบเรียง คุณตอ
เสียงนี้เป็นส่วนหนึ่งมาจากการสอนธรรมทางไลน์ โครงการรู้ขณิกะออนไลน์ หลักสูตรพัฒนาตัวรู้ ภาคฝืน3
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Friday Jul 24, 2020
รู้จักการทำงานของสังขาร จะรู้จักธาตุรู้ พม.ราเชน 180563
Friday Jul 24, 2020
Friday Jul 24, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 ณ สวนธรรมวังน้ำเขียว
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Tuesday Jul 21, 2020
หัวใจของการฝึกฝืน พจ.กระสินธุ์ 120763
Tuesday Jul 21, 2020
Tuesday Jul 21, 2020
เทศน์ปิด และนำแผ่เมตตา หลังการปฏิบัติร่วมกัน
โดยพระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
วันที่ 12 กรกฎาคม 2563
ความรู้สึกตัวแบบธรรมชาติ ที่มันมีอยู่ในปัจจุบัน มีอาการต่าง ๆ มากระทบสัมผัสอยู่เรื่อย ๆ เขาจะเกิดแบบนี้ มีการกระทบก่อนแล้วก็รู้ กระทบก่อนแล้วก็รู้ เอาแค่รู้พอ รู้แล้วก็สั้น ๆ ทิ้งไป ตั้งใจรู้ตัวใหม่มาเรื่อย โดยอาศัยความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติ ที่เขาจะเกิดหลังการกระทบแล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบกับเรา พอกระทบแล้วปุ๊บ ความรู้สึกตัวเขาก็จะเกิดขึ้นในจังหวะนี้ แล้วก็จะเลยไปเป็นความคิด ความคิดก็เป็นอารมณ์หนึ่งที่มากระทบกับจิต
เพราะฉะนั้นทุกอย่างเขาจะมีสภาวะหรือมีอารมณ์เกิดก่อน อารมณ์ต่าง ๆ จะเกิดก่อนแล้วมากระทบกับเรา พอกระทบกับเราปุ๊บเราก็หัด เอาแค่รู้ก็พอ รู้ว่าอาการนี้กำลังเกิดขึ้นกับเรา เอาใจที่เป็นหน้าที่รู้เนี่ย ไปทำหน้าที่รู้ตรง ๆ กับอาการนั้น ๆ หัดให้จิตเขาสัมผัส ฝึกรู้อาการนั้นตรง ๆ เพราะเขาจะได้ไม่ไปหลงสำคัญมั่นหมายว่าอาการเหล่านั้นเป็นเขา
ตัวอย่างเช่นถ้ามันร้อน เราก็หัดรู้ร้อนตรง ๆ หรือตอนนี้มันเคลื่อนไหว เราก็หัดรู้อาการเคลื่อนไหวที่มันเคลื่อนไหวจบไป เคลื่อนไหววูบหนึ่งแล้วก็จบไป ตรง ๆ ตามลักษณะของอาการที่มันปรากฏกับเราตลอดเวลา แต่ละอาการก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวเขา ภาษาบาลีเขาเรียกว่าวิเสสลักษณะ คือลักษณะที่เป็นพิเศษของแต่ละสิ่ง ที่เขามีรูปลักษณ์ไม่เหมือนกัน เสียงแต่ละเสียงก็ยังไม่เหมือนกัน กลิ่นแต่ละกลิ่นก็ยังไม่เหมือนกัน ก็จะเป็นลักษณะของเขา เอาใจไปสัมผัสตรงนี้บ่อย ๆ คือประเด็นแรก เพื่อจะทำให้เราเนี่ย มีโอกาสน้อมนำเอาตัวรู้สึกตัวที่เราฝึกในภาครูปแบบเนี่ย มาใช้กับภาคชีวิตจริงให้ได้ แม้บางครั้งมันมีอาการเผลอเราก็รู้อาการเผลอนั้น นั่นแหละภาวะของรู้สึกตัวธรรมชาติเกิดขึ้นแล้ว
ประเด็นที่สองคือเราต้องรู้จักว่า เวลาเราฝึกฝืนเนี่ย ฝืนอะไร เป้าหมายของการฝึกฝืนคือ หลักของมัน ฝืนเพื่อให้จิตมันสู่อุเบกขาให้ได้ การที่จะให้จิตสู่อุเบกขาคืออะไร ฝืนที่จะไม่รีบทำอะไรกับทุกอาการ ทุกอาการที่มากระทบกับเรา จะไม่รีบทำอะไร เพราะตัวรู้สึกตัวจริง ๆ คือเขาไม่ได้ทำอะไร ให้เข้าใจเลยว่าความรู้สึกตัวที่แท้จริงน่ะ เขาไม่ได้ทำอะไรสักเรื่อง แต่ทำไมมีการกระทำขึ้นมา ที่การกระทำขึ้น อันนั้นไม่ใช่ตัวรู้สึกตัว แต่เป็นตัวของอาการของธรรมชาติ ถ้ารูปเขาจะเรียกว่าเป็นธาตุ 4 นามเขาจะเรียกว่าเป็นขันธ์ 5 ภาษาที่เราใช้ คือว่า นอกกับในนั่นแหละ นอกเขาก็ปรุงแต่งอาการขึ้นมา เขากำลังกระทำขึ้นมา ในก็ปรุงแต่งเป็นความคิดและอารมณ์ที่เขาทำขึ้นมา แต่ภาวะของรู้สึกตัวจริง ๆ นี่มันแปลก มันแปลกตรงว่า มันไม่ได้รีบ ไม่ได้ทำอะไร ตัวเขาไม่ได้ทำอะไร เขาจะทำหน้าที่อย่างเดียวของเขา หน้าที่ที่เขาทำคือหน้าที่รู้การกระทำของอารมณ์นั้น ๆ
ทีนี้เวลาเราฝืนปุ๊บเนี่ย ถ้าเราฝืนแล้วเรารีบ... การฝืนเนี่ย เป็นการฝืนที่ถูกต้อง คือฝืนที่จะไม่ทำอะไรกับอารมณ์ทั้ง 2 อย่าง อารมณ์ทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอารมณ์ภายใน ให้ฝืนให้มาก ฝืนที่จะไม่ทำอะไร ดูมันเฉย ๆ ดูมันซื่อ ๆ แต่ภายนอกน่ะ เบื้องต้นน่ะ ให้เรารู้มันก่อน ให้ฝืนมันก่อนที่จะไม่รีบทำอะไร แล้วดูว่ามันมีอะไร มีคำสั่งอะไรเกิดขึ้นมาให้เราทำโน่นทำนี่บ้าง พอเราเห็นเรียบร้อยแล้ว เราก็ดูความเหมาะสม ว่าสมควรทำหรือไม่สมควรทำอะไร อันนี้ฝืนให้มันเห็นชัดว่า ตัวรู้สึกตัวจริง ๆ คือรู้ ทำหน้าที่รับรู้ ไม่ใช่ทำหน้าที่ทำอะไรทั้งสิ้น มันจะเห็นตรงนี้บ่อย ๆ ฉะนั้นเวลาเราไปทำภาวนาปุ๊บน่ะ เราก็หัดทำภาวนาให้มันหัดฝืนทั้งสองฟาก ทั้งสองส่วน ส่วนภายนอกก็จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เลือกเอา ส่วนภายในก็จะเป็นแค่อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง บางคนจะใช้การฝืนว่า เช่นเวลาโกรธขึ้นมาปุ๊บ ฉันจะไม่รีบทำอะไรกับความโกรธนั้น จนกว่ามันจะหายไปเอง ถ้าเป็นภายนอก มันอาจจะเป็นอุปนิสัยที่เราเคยชิน เคยชินอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นเคยชินกับการกินกาแฟ เราก็อาจจะฝืนที่จะไม่กินมันใน จังหวะที่เราฝืนที่จะไม่กิน ข้างนอกคือกาแฟ แต่เราจะเห็นข้างใน ที่มันมีชุดคิด ชุดคำสั่งที่คอยดักหาเหตุหาผลเกิดขึ้นมาให้เราไปทำตาม เราก็จะระวังกายกรรมกับวจีกรรมเอาไว้ที่จะไม่ทำตามนั้น ลองตั้งใจฝึก ตั้งโจทย์กับตัวเอง แล้วก็ลองฝืนแบบนี้ จนกระทั่ง ฝืนจนกระทั่งรู้สึกว่า แรก ๆ มันจะฝืนแล้วฝืด ต่อไปแล้วฝืนมันไม่ฝืด คือไม่รู้สึก ไม่รู้สึกว่าเรื่องนั้นมีปัญหากับเรา ฝืนเพื่อให้จิตมันค่อย ๆ คลายความหมายของมันมากขึ้น ๆ เพราะฉะนั้นอยาก
ฝากประเด็นไว้ 3 ประเด็นนะ 1 ประเด็นฝึกหัดรู้สึกตัวกับธรรมชาติในชีวิตจริงให้มากขึ้น กับในรูปแบบที่ทำขึ้น ก็เป็นบางช่วงบางเวลา 2 ให้รู้จักตัวรู้สึกตัวที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาไม่ได้ทำอะไร สิ่งที่ทำไม่ใช่ตัวรู้สึกตัว แต่เป็นตัวอารมณ์ ให้รู้จักเลยว่า รู้สึกตัวจริง ๆ น่ะ เขารู้สึกซื่อ ๆ แล้วไม่ได้รีบทำอะไร อันที่ 2 3 ให้ไปหัดฝึกฝืนเอากับ 2 เรื่อง เรื่องภายนอก เรื่องหนึ่งเรื่องภายในเรื่องหนึ่ง แล้ววิธีการฝืนคือฝึกฝืนแบบเดียวกันคือฝืนที่จะไม่รีบทำอะไร หัวใจสำคัญของการฝืนมันอยู่ที่ตรงนี้ ขอให้พวกเราลองไปฝึกฝนนะ แล้วปล่อยใจกว้าง ๆ เปิดใจกว้าง ๆ ยอมรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นกับเรา จะดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ แต่เราก็จะไม่ไปทำตาม
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Saturday Jul 18, 2020
Q&A วิธีฝึกสติรู้สึกตัวในชีวิตประจำวัน พม.ราเชน 140563
Saturday Jul 18, 2020
Saturday Jul 18, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ณ สวนธรรมวังน้ำเขียว
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Wednesday Jul 15, 2020
ฝึกฝืนไม่ทำ แต่รู้การกระทำ พจ.กระสินธุ์ 080763
Wednesday Jul 15, 2020
Wednesday Jul 15, 2020
การโค้ชพี่เลี้ยงกลุ่ม โดยพระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
วันที่ 8 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องกลุ่มไลน์
...
ประเด็นที่จะบอกให้จับ หลักการฝึกฝืนภายใน คือ 1. ให้รู้จักความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ ที่เกิดหลังอาการ เกิดหลังสภาวะ ให้มีอาการเกิดก่อน สภาวะเกิดก่อน เขาก็จะไปรู้ลักษณะของอาการนั้น สภาวะเหล่านั้นตามที่มันแสดงตัวมา 2. ให้รู้จักความรู้สึกตัวแท้จริงที่เขาไม่ได้ทำอะไร เขาทำหน้าที่อย่างเดียวคือ รู้การกระทำ 3. จิตเราน่ะถ้ายังอยากทำอะไรอยู่กับทุกๆสภาวะนั้น ให้ลดมันให้ฝืนมัน ที่จะไม่กระทำอะไร เพื่อเติมอุเบกขาในใจให้เข้มแข็งขึ้น
ด้านในใจเราต้องฝึกตัวนี้ให้เข้มแข็งให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจิตเราจะไม่พ้นไปจากข่ายของตัณหา ข่ายของการทำงานไม่เลิก
..ตัวรู้สึกตัวเดิมแท้ มันเป็นอีกฝากฝั่งหนึ่ง มันไร้การกระทำแต่รับรู้การกระทำ
...
เสียงนี้เป็นส่วนหนึ่งมาจากการสอนธรรมทางไลน์ โครงการรู้ขณิกะออนไลน์ หลักสูตรพัฒนาตัวรู้ ภาคฝืน3
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Tuesday Jul 14, 2020
Q&A ภาวนาแล้วมักติดเพ่งต้องแก้ไขยังไง? พม.ราเชน 140563
Tuesday Jul 14, 2020
Tuesday Jul 14, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ณ สวนธรรมวังน้ำเขียว
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Sunday Jul 12, 2020
Q&A เดินจงกรมแล้วมักจะคิดซ้อนคิด ต้องทำยังไง? พม.ราเชน 140563
Sunday Jul 12, 2020
Sunday Jul 12, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ณ สวนธรรมวังน้ำเขียว
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Friday Jul 10, 2020
ไร้การกระทำ แต่รู้การกระทำ พจ.กระสินธุ์ 050763
Friday Jul 10, 2020
Friday Jul 10, 2020
พระอาจารย์นำปฏิบัติร่วมกัน ภาคฝืน3 โครงการรู้ขณิกะออนไลน์ หลักสูตรพัฒนาตัวรู้
วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563 ปฏิบัติบูชาวันอาสาฬหบูชา เวลา 05:00-05:30 นำปฏิบัติโดย พอจ. กระสินธุ์ อนุภัทโท
🦋🦋🦋🦋🦋
หลักการ 👉เริ่มต้นจากความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยเริ่มรู้สึกตัวจากการกระทำ เป้าหมาย👉เพื่อเสริมความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติให้เข้มแข็งขึ้น
วิธีการ 1️⃣👉เริ่มต้นจากความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ ก่อนที่จะทำความสงบ ก่อนที่จะเดินจงกรม ก่อนที่จะทำในรูปแบบให้ลองนั่งสำรวจดูธรรมชาติเดิมแท้ที่มีอยู่ก่อน เช่นรู้สึกถึงอาการนั่งที่กำลังเกิดขึ้น ในขณะนั่งนั้นมีอะไรบ้าง มีความอุ่น มีความเย็น ความร้อนก็รู้สึกไปหรือเริ่มจากเดินเบาๆสบายๆง่ายๆ ไร้การกระทำ เริ่มจากตรงนี้ให้ชัด 2️⃣👉จากนั้นค่อยเริ่มรู้สึกตัวจากการกระทำ เช่นจากการยกมือ จากการเดินจงกรม ตัวนี้เป็นรู้สึกตัวที่ทำขึ้น เพื่อเสริมความรู้สึกตัวแบบธรรมชาติให้เข้มแข็ง พยายามให้มันรู้ที่การเคลื่อนไหวของมือเบาๆ ไม่ต้องใส่เจตนาไปมากและรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติควบคู่ไปด้วย เช่นการสร้างจังหวะ หรือเดินจงกรมอยู่ ก็จะมีความรู้สึกตัวเป็นธรรมชาติเกิดขึ้นควบคู่ไปด้วย มีการกระพริบตา มีการกลืนน้ำลาย หรือมีลมพัดมาถูกกับร่างกายหรือมีความคิดโผล่ขึ้นมาแว๊บๆ แล้วเราก็รับรู้มัน สิ่งเหล่านั้นเป็นความรู้สึกแบบธรรมชาติ ที่ควบคู่กับการรู้สึกตัวที่ทำขึ้น เราเริ่มต้นตรงนี้ให้ดีๆ
😇ปฏิบัติร่วมกัน 30 นาที😇
ก่อนจบการปฏิบัติร่วมกัน อาตมาขอฝากเรื่อง การฝึกเล็กน้อยไว้ เป็นเรื่องที่เราจะได้ไปทำต่อ เพื่อให้รู้ว่า 👉ความรู้สึกตัวจริงๆหรือความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ เขาจะไม่ทำอะไรเลย ภาวะของรู้สึกตัวจริงๆ ภาวะของความรู้สึกตัวเดิมแท้ เขาจะ ไม่มีการกระทำ ในทางตรงกันข้าม เขาจะตื่นขึ้นมารับรู้การกระทำ 👉การกระทำของชีวิตเรา…มีอยู่เยอะในวิถีชีวิต เช่น
1️⃣มีกาย 👉ก็มีผัสสะคือเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่งตึง ไหว เจ็บ ปวด เมื่อย เพลีย กระพริบตา กลืนน้ำลาย หายใจ นี่เป็นการกระทำที่เกิดกับกาย จิตคอยรับรู้การกระทำ ไม่ใช่จิตไปกระทำ แต่ละวัน ร่างกายจะมีสิ่งที่มากระทบผัสสะกับกายอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวเย็น ร้อน หนาว เดี๋ยวเมื่อย เดี๋ยวหิว เดี๋ยวกระหาย เดี๋ยวเคลื่อนไหว หายใจ กระพริบตา เดี๋ยวยืน เดิน เดี๋ยวนั่ง เป็นการกระทำทั้งหมด ภาวะรู้สึกตัวเขาไม่ได้กระทำ เขาแค่รับรู้การกระทำของกายกับสิ่งที่มากระทบกับกาย
2️⃣มี ตา หู จมูก ลิ้น 👉สิ่งเหล่านี้ไม่ได้กระทำแต่ว่ารูป เสียง กลิ่น รสสัมผัสที่เกิดรอบๆตัวเรา ที่มีอยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน เขากำลังกระทำอยู่ เมื่อเขากระทำเสร็จแล้ว อย่างรูปทำเสร็จก็มากระทบกับตา เสียงทำเสร็จก็มากระทบหู กลิ่นทำเสร็จแล้วมากระทบจมูก รสทำเสร็จเรียบร้อยแล้วมากระทบกับลิ้น เหมือนรสชาติผลไม้ต่างๆที่ธรรมชาติเขากระทำเรียบร้อยแล้วมากระทบกับลิ้น
3️⃣ใจ 👉 ทำหน้าที่รับรู้การกระทำของอารมณ์ ความคิดเกิดขึ้นปุ๊บ ใจก็ทำหน้าที่ 👉ความรู้สึกตัวก็รับรู้ความคิดนั้น ความพอใจเกิดปุ๊บ ความรู้สึกตัวก็ทำหน้าที่รับรู้ความพอใจ เพราะความพอใจกำลังกระทำ ความไม่พอใจกำลังกระทำอยู่ ความคิดกำลังกระทำอยู่👉ความรู้สึกตัว รับรู้การกระทำอยู่ 🔅
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะฝึกรู้สึกตัว ให้มันดี ให้มันตรง อาศัยความรู้สึกตัวธรรมชาติ ที่ไม่ได้กระทำอะไร แต่รับรู้การกระทำ เวลารู้อะไรปุ๊บ 👉ให้รู้และไม่รีบ กระทำ มันจะเป็นภาวะความรู้สึกตัวที่ซื่อๆตรงๆเฉยๆชัดๆเบาๆสบายๆ 👍เพราะไร้การกระทำ แต่รู้การกระทำ (!)(!)ตรงจุดนี้เราไปซ้อม ซ้อมบ่อยๆ 👍
🔅เวลาเราไปฝึกฝืน ให้อยู่กับภาวะความรู้สึกตัว ที่เป็นธรรมชาติ 🔅
ตัวอย่าง ถ้าเรารู้”ความอยาก”กำลังเกิดขึ้นกับเราแล้ว 👉ความรู้สึกตัวไม่ใช่ ‘ความอยาก’ 👉แต่ความรู้สึกตัว จะรู้อาการ ‘อยาก’ ที่กำลังกระทำอยู่ 👉ตัวรู้สึกตัว กำลังรู้การกระทำ คือความอยากนั้น กำลังกระทำอยู่ กำลังเกิดอยู่ แล้วเราไม่ไปกระทำต่อ👍ทำหน้าที่รู้สึกตัว รู้แล้วไม่ทำอะไร ไม่ต้านและไม่ตาม แต่รับรู้การกระทำของมัน🔅
👉เวลาสร้างจังหวะหรือเดินจงกรมก็เหมือนกัน ให้เห็นว่ามีความรู้สึกตัวอยู่ตัวหนึ่งและให้รู้ว่ามีการกระทำอยู่ คือ สร้างจังหวะอยู่เป็นการกระทำ เดินจงกรมอยู่เป็นการกระทำ และมีตัวรู้สึกตัว ที่รู้การกระทำทั้ง 2 อย่าง 👉ฝึกซ้อมความรู้สึกอันนี้ให้ได้บ่อยๆ 👉แล้วจะเห็นว่าความรู้สึกตัวจริงๆเบา โปร่ง โล่งสบาย ไม่ได้กระทำอะไรเลย แต่รับรู้การกระทำรอบๆตัวไปทุกๆวัน
👉ไปฝึกซ้อมตัวนี้ให้ดีนะ
👉ความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ มีอยู่แล้ว ที่รับรู้การกระทำของเราอยู่ตลอดเวลา ที่พวกเราเขียนรายงานมาเช่น โกรธบ้าง เกลียดบ้าง ชอบบ้าง คิดมากจัง คิดเยอะจัง อันนี้เป็นการกระทำทั้งหมด ที่ตัวรู้สึกตัวเขากำลัง ‘รู้’ การกระทำ แต่พอรับรู้แล้ว #เราไม่มีอุเบกขา คือรู้แล้วเรารีบทำไปเลย เราเลยไม่เห็น เราไม่เห็นการกระทำ เพราะ ตัวรีบทำเป็นการกระทำอีกแบบหนึ่ง….ที่ตัวรู้สึกตัวจะรู้ว่านี่เรา ‘รีบทำ’
สรุป 👉ความรู้สึกตัวจริงๆ จะเป็นสิ่งที่ ‘รับรู้’ การกระทำ ไม่ใช่การกระทำ ความรู้สึกตามธรรมชาติจะเป็นตัวนี้ หัดไปเรื่อยๆเพราะรอบๆตัวเรา จะมีการกระทำอยู่ตลอดเวลา 👉ให้เราฝึกรู้ซื่อๆ รู้ตรงๆ รู้แล้วไม่ได้รีบทำอะไร ภาวะรู้สึกตัวจะค่อยๆหลุดออกจากการหลงเข้าไปกระทำได้เยอะขึ้น
🗣 อยากฝากข้อคิดนี้ไว้
📣ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้ตั้งใจและ ร่วมกันใช้เวลาอันเป็นมงคลด้วยจิตใจหลายๆดวงแต่กระทำเรื่องเดียวกันในเวลาพร้อมเพียงกันนี่แหละ จะเป็นพลังของจิตแต่ละดวงที่จะสื่อถึงกันและกัน เหมือนกับเราอยู่คนละที่อยู่คนละแห่ง แต่มีจิตใจมุ่งมั่นในเรื่องเดียวกัน จึงมีพลังแรงดึงดูดและ มีพลังส่งเสริม ให้ทุกคนมีกำลังใจทำ เราอย่าคิดว่าเราอยู่ห่างไกลกัน ทุกคนอาจจะอยู่ห่างไกลกันด้วยตัว ด้วยหน้าที่การงาน แต่จิตใจนั้นไปได้อย่างอิสระ ไปได้ทุกทิศทุกทาง อาศัยที่ว่าเราทุกคนมีทิศทางร่วมกัน แนวทางเดียวกัน เป็นกำลังส่งเสริมกันและทำเรื่องเดียวกัน มันจะค่อยๆรวบรวมพลังของแต่ละความตั้งใจ ของแต่ละคนที่เกิดขึ้นและส่งผลติดต่อไปด้วยกัน คล้ายๆกับการใช้คลื่นโทรศัพท์นี่แหละไปอยู่ทุกที่ทุกแห่ง แล้วมารวมกันในจุดของ LINE ของกลุ่มได้ โดยคลื่นโทรศัพท์เปิดช่องเหมือนกัน รับคลื่นเหมือนกันรุ่นเดียวกันเหมือนกัน เช่นเดียวกับการตื่นขึ้นมาทำพร้อมๆกัน ทำเรื่องเดียวกันไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยนะ ส่งเสริมให้กำลังใจทุกคนดีขึ้น
👉ทุกครั้งที่เราทำร่วมกันให้ถือว่ามันคือพลัง ที่เรามีจุดเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน มีภาวะเดียวกันได้มาทำพร้อมๆกันเพื่อส่งพลังให้แก่ทุกๆคนไปด้วย
👉ขอให้ทุกคนเจริญก้าวหน้าและ เข้าใจภาวะของการฝึกฝืน….. จนกระทั่งสามารถพัฒนากำลังจิตของตนเอง ให้ก้าวข้ามอารมณ์ทุกๆอารมณ์ได้ด้วยเทอญ
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Wednesday Jul 08, 2020
Q&A เมื่อมีทุกข์มากระทบให้ดูยังไง พม.ราเชน 140563
Wednesday Jul 08, 2020
Wednesday Jul 08, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ณ สวนธรรมวังน้ำเขียว
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Sunday Jul 05, 2020
ทบทวนหลักการปฏิบัติ พจ.กระสินธุ์ 100563
Sunday Jul 05, 2020
Sunday Jul 05, 2020
เบื้องต้น 1. ให้มีความรู้สึกตัวอยู่กับตัวรู้ 2. เป็นตัวรู้ที่ผ่อนคลาย ไม่ต้องไปซีเรียสรู้บ้าง เผลอบ้าง ไม่เป็นไรแต่พยายามจะรู้อยู่ มีปีติ เกิดความสนุก เกิดความสุขกับการภาวนา 3. ให้สิ่งต่างๆมันเกิดก่อน แล้วค่อยรู้ตาม แล้วก็หัดแยกทั้งข้างนอกและข้างใน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามให้สังเกต ความรู้สึกตรงนี้อยู่เรื่อยๆ เรียกว่า ตั้งหมุดหมายไว้ในใจ เพื่อให้มันเกิด ตัวตรึกตรอง เพราะอารมณ์เบื้องต้น ของสมาธิคือการ ตรึกอยู่ในเรื่องนี้ และตรองว่ามันยังอยู่ในเส้นทางนี้มั้ย บ่อยๆ
เสียงนี้เป็นส่วนหนึ่งมาจากการสอนธรรมออนไลน์ ภาคฝึกรู้ ฝึกออก รุ่น3
โดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
วันที่ 10 พฤษภาคม 2563 ตอนค่ำ ณ ห้องกลุ่มไลน์
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Friday Jul 03, 2020
Q&A เลิกทำความรู้สึกตัวหมายความว่ายังไง พม.ราเชน 140563
Friday Jul 03, 2020
Friday Jul 03, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ณ สวนธรรมวังน้ำเขียว
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Wednesday Jul 01, 2020
ปฐมนิเทศออนไลน์ภาคฝืน 3 พจ.กระสินธุ์ 280663
Wednesday Jul 01, 2020
Wednesday Jul 01, 2020
โครงการรู้ขณิกออนไลน์ หลักสูตรพัฒนาตัวรู้ ภาคฝืน 3 ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 30 สิงหาคม 2563 เทศนาธรรมออนไลน์ วันที่ 28 มิถุนายน 2563 เวลา 14:00 น. โดยพระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
ให้โอวาทเปิดอบรม 3 หลักการฝึกฝืนที่ควรศึกษา
1 ไม่ต้าน ไม่ต้านทุกสภาวะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา เราจะไม่ต้านมัน จะเป็นภาวะดีหรือไม่ดีก็ตาม ส่วนใหญ่ภาวะต่าง ๆ ที่ไม่ดี ที่เกิดกับเรา เราชอบต้านบ้าง ชอบปฏิเสธบ้าง ชอบแก้ไขบ้าง ชอบจัดการบ้าง โน่นนี่นั่นสารพัด นี่เขาเรียกอาการของการต้าน เพราะการต้านนี้เป็นตัณหาตัวหนึ่ง ที่คอยดักทำให้เรา รู้ซื่อ ๆ ไม่ได้ นิ่งไม่ได้ สงบไม่ได้ เฉยไม่ได้ แยกตัวออกจากอารมณ์เหล่านั้นไม่ได้ เพราะว่าการต้านแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม นั่นแหละมันพาให้จิตเรามันเสียศูนย์ เลยสูญเสียความเป็นกลาง ไปด้วยการไหลรวมกับอารมณ์ 00.08.26
2 ไม่ตาม ไม่ไหลตามอารมณ์เหล่านั้น การตามไปทุก ๆ อารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์ที่เรารู้สึกดี ๆ ภาวะที่เกิดขึ้น อาจจะรู้เห็นบางสิ่งบางอย่าง หรือเอาชนะบางสิ่งบางอย่าง หรือเป็นความสุขเพลิดเพลินจากการภาวนาแล้ว มีภาวะของความสงบบ้าง ความนิ่งบ้าง ความว่างบ้าง หรืออะไรก็ตามที่เป็นภาวะที่เรามักชอบ จิตมักไหลตาม อันนี้ก็เป็นอีกอันหนึ่ง การตามไปก็เป็นตัณหาชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่า ตัณหามี 2 อย่างคือ ต้าน กับ ตาม ความอยากมี 2 อย่าง มักเพลินไปกับการต้าน มักเพลินไปกับการตาม 2 อันนี้เราควรระวัง
3 ฝึกอุเบกขาให้มากขึ้น คือปัญญาให้มากขึ้น คือการยอมรับ ยอมรับความจริงของทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเราให้ได้ ไม่ว่าความจริงเหล่านั้นจะเจ็บปวดแค่ไหน มันก็เป็นความจริง อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง.. ที่จะเกิดขึ้นกับในชีวิตเราทุก ๆ วันนี้ ถ้าเรายอมรับความจริงของโลก ความจริงของอารมณ์แล้ว มันจะไม่มีอะไร
เหมือนบุคคล บุคคลหนึ่งเมื่อทำความผิดแล้ว เมื่อยอมรับว่าผิด ก็ยอมรับโทษที่ตามมา เมื่อยอมรับโทษที่ตามมาด้วยใจที่ยอมรับปุ๊บ จิตจะไม่รู้สึกเกิดอึดอัดขัดเคืองอะไรทั้งสิ้น
การยอมรับอารมณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น เราต้องฝืน 2 ด้าน คือฝืนการต้านและตาม เพราะเรามักเพลิน ในภาวะของตัณหา มันจะเกิดขึ้น 2 อย่างนี้ แต่การยอมรับเนี่ย มันจะร้ายแค่ไหนเราก็ยอมมัน เพื่อที่เราจะได้ศึกษาและเรียนรู้มัน
00.10.36 อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ มันเหมือนกับขาวกับดำ กุศลและอกุศลทั้งหลายทั้งปวง มันเหมือนกับความมืดและความสว่าง มันต้องมีอยู่คู่โลกใบนี้อยู่เสมอ ๆ ไม่ได้ไปไหน แต่บุคคลที่อยู่เป็น เขาอยู่แบบมืด แต่ตัวเองไม่มืด อยู่แบบสว่างแต่ตัวเองก็ไม่ได้หลงกับความสว่างนั้น อยู่แบบรู้แจ้ง อยู่แบบเข้าใจ อยู่มืดก็อยู่ได้ สว่างก็อยู่ได้ ไม่ได้ไปรักสว่าง แล้วก็เกลียดความมืด... ก็ไม่ใช่ เหมือนเรารักกุศล เกลียดอกุศล... ก็ไม่ใช่ หรือรักอกุศลรักความชั่ว เกลียดความดี... ก็ไม่ใช่ แต่เป็นการที่จะอยู่ท่ามกลาง เห็นทั้งความดีและความชั่ว โดยที่จิตเราน่ะ มาเป็นรู้ ผู้ดู และผู้เห็น ไม่ได้เป็นผู้เป็นไปกับมัน
ฉะนั้นเราต้องหัดฝึก วิธีการฝึกของเราคืออะไร ก็ฝึกตัวรู้ที่เราพัฒนามานั่นแหละ ตัวรู้เดิม ๆ ตัวรู้เดิม ๆ ที่เราได้เพาะบ่มมา มาฝึกต่อ โดยให้เราหัดไปตามกระบวนการต่าง ๆ ที่จะต้องฝึกฝืนมัน การฝืนนี้ จำให้ดี ๆ ว่า การฝืนนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่ไม่ต้านสิ่งนั้นและก็ไม่ตามสิ่งนั้น และเปิดใจยอมรับมัน ให้มันเกิดของมันเอง โดยเราจะมีเนื้อที่ของเราอยู่เอง เขาจะเกิดอย่างไรก็ตาม แต่เรามีเนื้อที่อยู่ เนื้อที่หรือที่อยู่ ที่อยู่ของเราคือเรียนรู้มัน ได้รู้มัน ได้เห็นมัน ได้เข้าใจมัน นี่คือที่อยู่ของเรา ไม่ใช่อารมณ์เหล่านั้นเป็นที่อยู่ของเรานะ ที่อยู่ของเราคือได้รู้มัน ได้เห็นมัน ได้เข้าใจมัน ได้เฉย ๆ กับมัน นี่คือที่อยู่ ที่อยู่ที่เราจะอยู่ เพราะว่าถ้าเราอยู่ตรงนี้ได้บ่อย ๆ อยู่ตรงนี้ได้มาก ๆ เราจะเริ่มเห็นจิต ที่มันเห็นชัดต่อการเป็นอิสระจากอารมณ์ แต่มีอารมณ์ ไม่ได้เข้าไปร่วม ก็อยากให้พวกเราขวนขวาย แล้วก็ตั้งใจ มีความกล้าหาญ มีความเด็ดเดี่ยว มีความมุ่งมั่น มีความเข้มแข็ง ไม่ใช่เพื่อใคร ทั้งหมดนี้ การทำมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพื่อใคร ........."เพื่อตัวเอง".....
การช่วยเหลือตัวเอง คือช่วยเหลือจิตใจของตนเองให้มีความเข้มแข็ง ให้มีความอิสระจากอารมณ์ ไม่ต้องตกเป็นทาสของอารมณ์มากขึ้น และก็ให้มีสติปัญญาในการที่จะพาใจเข้าไปรู้จัก พาใจเข้าไปรู้ เข้าไปเห็น แต่ไม่เข้าไปเป็น เข้าไปศึกษาตัวของตัวเองนี่แหละ ศึกษาอะไร ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้านี่แหละ ศึกษาให้มันชัดเจนขึ้น ฉะนั้นให้รักษาที่อยู่ของเราให้ดีคือ การรู้สึกตัวที่รู้สั้น ๆ อยู่ในปัจจุบัน รู้แบบไม่ต้องคิด
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Sunday Jun 28, 2020
จริต 6 พจ.กระสินธุ์ 141263
Sunday Jun 28, 2020
Sunday Jun 28, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
วันที่ 14 ธันวาคม 2562 ตอนค่ำ ณ ม่อนมิ่งขวัญ ดอยสะโง้
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Friday Jun 26, 2020
วิธีภาวนา พม.ราเชน 140563 (R)
Friday Jun 26, 2020
Friday Jun 26, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ณ สวนธรรมวังน้ำเขียว
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Monday Jun 22, 2020
ธรรมะสำหรับคนป่วย พจ.กระสินธุ์ 280563
Monday Jun 22, 2020
Monday Jun 22, 2020
🙋♀️โยมอยากกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ ที่สอนเรื่องของความรู้สึกตัวได้นำมาปฏิบัติ
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องของการเจ็บป่วย ที่เหมือนมันจะขาดใจตาย อาจจะเนื่องจากมีซีสที่โตขึ้น ทำให้เกิดอาการข้างเคียง เจ็บป่วย
ตั้งแต่ปฏิบัติมาก็ทำตามที่ พอจ.สอนมาโดยตลอด จนป่วยหนักลุกจากเตียงไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ โยมทำได้แค่..เวลาเจ็บมากๆ ก็เข้าไปดูความเจ็บที่ท้องปวดลงไปถึงขา เหมือนท้องอุ่นปรุงอยู่ข้างใน มันร้อนตลอดเวลา
ในความรู้สึกของความเจ็บปวด กายมันเจ็บ เห็นข้างในที่เป็นความคิด ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำงานเหมือนเดิม เข้ากระบวนการเดิม จะอ้วกเหมือนเดิมเพราะ มันเห็นความคิดไหลเข้าเรื่องนี้จบ ออกไปเรื่องนั้น เรื่องนั้นจบไหลออกไปเรื่องนี้
สิ่งที่โยมได้จากการป่วยคือ ใจโยมไม่ไปดิ้นรนเหมือนเมื่อก่อน ไม่หาทางที่ จะให้มันหายเจ็บ ไม่หาทางที่ ‘อยาก’ จะให้มัน ‘หาย’ มีแต่การดูลมหายใจ บางครั้งสลับระหว่างการเป็นผู้ดูกับผู้เป็น เป็นผู้ ดูลมหายใจ ‘ดูกาย’ สลับไปเป็น ‘คนหายใจ’ เหมือนมันเข้ามันออกบางครั้ง ข้างในก็ไม่มีทั้งความคิด ไม่มีอะไรเลย เหมือนได้พัก บางครั้งมันก็ปะทุขึ้นมา
สิ่งที่โยมได้จากการพยายามฝึกรู้สึกตัว ...สิ่งที่ได้จากการปฏิบัติ คือไม่มีความกลัวตายเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีการดิ้นรนว่าจะไปทางไหนอีก เหมือนเดินมาถึงสี่แยก รู้แล้วว่าคืออะไร โยมรู้สึกดีมาก ที่ได้เรียนรู้เรื่องรู้สึกตัวกับพระอาจารย์
😇พระอาจารย์กระสินธุ์ตอบ: เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วย มันมี 2 วิธี ที่ทำให้จิตใจเราสงบระงับขึ้น 1 การยอมรับ ช่วยบรรเทาอาการดิ้นรนในใจได้ 2 การเป็นอิสระจากมัน หรือการแยกขาดจากมัน…. อันนี้ต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกพักหนึ่ง
เราไม่ได้ดูการเจ็บปวด ไม่ได้ดูความคิด แต่จะดูในลักษณะที่เมื่อมันมีความเจ็บปวดขึ้นแล้ว เมื่อเรารู้แล้ว มันมีคำสั่งอะไรในใจ
เราต้องหัดดู ‘คำสั่ง’ตัวนี้อีกตัวหนึ่ง เพราะตัวเจ็บปวดก็ดี ความคิดก็ดี นั่นเป็นตัวหลอกล่อให้เราเห็น ‘คำสั่ง’ ...นี่เป็นตัวจี้อีกตัวหนึ่งที่จะดักเกิดมา
มันจะมีตัวคิด ที่สั่งว่า ‘ทำอย่างนี้สิ’ ‘ทำอย่างนั้นสิ’ หรือ ‘ทำเฉยๆสิ ’ จะมีความคิดเหล่านี้คอยดักให้รู้สึกว่า ยังมี ‘เรา’ อยู่ในมัน และยังมี ‘มัน’”อยู่เรา มันไม่เกิดการแยกขาดจากกัน ยังมีความรู้สึกบางครั้งเวทนามันรุนแรง ไม่มีอุเบกขาพอที่จะดูเฉยๆ อย่างไม่เกี่ยวข้องกับมัน
เราก็ต้องฝึกฝนอีก วิธีฝึกก็ฝึก “ตัวรู้” นี่แหละ แต่แทนที่จะรู้ความเจ็บปวดของร่างกาย ที่มันเป็นอยู่ หรือจะดูความคิด คำสั่งที่คอยดักเชื่อมเรียกว่า “ตัวเกิน “ เจ็บก็คือเจ็บ คิดก็คือคิด แต่ทำไมเราจึงรู้สึกว่า จะต้อง ‘อะไร’ บางอย่าง กับ ทั้งเจ็บและคิด โยม: สิ่งที่พระอาจารย์บอกเห็นอยู่ค่ะ รู้อยู่ค่ะอยู่ค่ะอิสระอยู่ค่ะดีมากๆค่ะ
😇พอจ.กระสินธุ์ตอบ: นั่นแหละค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆนะ มันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วคอยสังเกตมันไปเรื่อยๆ ก็ต้องเรียนรู้มันไปนะ ความอยากก็ดีอะไรก็ดี ก็ต้องเรียนรู้มันไป
มีอย่างหนึ่งนะ ความโกรธก็คือความโกรธ แต่ บางครั้งทำไมใจเราจะต้องโกรธมันด้วย ความคิดก็คือความคิด แต่ทำไมใจเราจะต้อง อะไร กับมันด้วย มันก็คือความคิดแหละ ไม่มีอะไร ดูมันไปตรงๆ คอยศึกษามันไปดีๆ ใหม่ๆก็หัด อดทนก่อน ฝึกฝนไปก่อน บางครั้งก็ช่วยมันบ้างเวลามัน จม อย่าไปดูกับความเจ็บปวดนั้นบ่อย ถ้ารู้สึกไม่ไหวจริงๆ ก็ช่วยมัน ส่วนอื่นของร่างกายก็มีอยู่ ก็เรียนรู้มันไปบ้าง ถ้ามีกำลังพอ ก็เผชิญตรงๆ
🙋♀️โยม: มัน เหมือนกับรู้อยู่ที่อกกระเพื่อม เพราะลุกขึ้นมาไม่ได้ ก็ดูลมหายใจที่มันเคลื่อนไปเคลื่อนมา รู้ว่ากายมันแนบอยู่กับที่นอนอยู่ ดูไปดูมากลายเป็นว่าเห็นทุกข์ทั้งหมด ทุกข์จนสลดใจมากกับการที่เราได้เกิดมา มันเหมือนโยมถอดถอนออกมา คือเหมือนรู้สึกเบาๆ เจ็บส่วนเจ็บ ความเบาอยู่ข้างบนตัวที่เรานอน ในความเจ็บมีความเบา ในความเจ็บมีความทุกข์ มีอิสระ โยมเห็นว่าโยมไม่เหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ มันเป็นกระบวนการที่สวยงามในการเห็นอยู่
🙇♀️กราบขอบพระคุณพระะอาจาย์เจ้าค่ะ 🙇♀️
ถาม-ตอบ ห้องไลน์ฟังธรรม : ธรรมะคนป่วย โดยพระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท วันที่ 28 พฤษภาคม 2563
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Saturday Jun 20, 2020
ธาตุขันธ์กับการตื่นรู้ พม.ราเชน 140563
Saturday Jun 20, 2020
Saturday Jun 20, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ณ สวนธรรมวังน้ำเขียว
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Wednesday Jun 17, 2020
ฝึกรู้ให้เป็นวาระของชีวิต พจ.กระสินธุ์ 120663
Wednesday Jun 17, 2020
Wednesday Jun 17, 2020
ช่วงแรกเป็นธรรมเทศนา และตอนท้ายมีการถาม_ตอบข้อธรรม โดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
0:15 ฝึกรู้ให้เป็นวาระของชีวิต
ก็ขออนุโมทนาสาธุนะ กับที่พวกเราได้ตั้งใจ สนใจอยากจะฟังธรรม การแสดงธรรมวันนี้ก็จะเป็นการแสดงเรื่องของการ(ที่)เราได้ภาวนากันนะ ก็เรื่องของการให้ทานก็ดี การรักษาศีลก็ดี เขาบอกว่า ให้ทานร้อยครั้งพันหนไม่เท่ากับรักษาศีลแค่หนเดียว รักษาศีลร้อยครั้งพันหนไม่เท่ากับภาวนาแค่ครั้งเดียว ก็การให้ทานทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านมา บางครั้งเราให้ทานไปเนี่ย แต่ว่าเราก็ไม่ได้ควบคุม ไม่ได้ฝึกตัวเอง ด้วยศีล คือกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกายกรรมกับวจีกรรม แต่พอเรามาถือศีลปุ๊บ มันก็จะมีการที่จะเข้ามาศึกษา เข้ามาปฏิบัติตัวเอง โดยการห้ามกายกรรมและวจีกรรมขึ้นมา หัวใจของศีล แต่ว่าจิตใจก็ยังไม่ได้รับการอบรมและภาวนา ได้อบรมบ้าง แต่ยังไม่ได้ขัดเกลา เข้าถึงมัน ทีนี้ก็เลยต้องอาศัยการภาวนาเนี่ย การภาวนาจะทำให้ตัวการให้ทาน ตัวการรักษาศีล ตัวการภาวนาจะทำให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้นมา เพื่อจะได้ฝึกฝนเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องภายใน
ฉะนั้นก็อาศัยการที่พวกเราได้สนใจเรื่องภาวนาอยู่แล้ว ฉะนั้นการภาวนาก็คือ ไม่ใช่มีเรื่องอะไรยากมากมายอะไรนักหนา การภาวนา คือ การที่จะเข้าถึงตัวเอง เป็นการเข้าถึงตัวเอง เป็นการเข้ามาฝึกรู้ตัวเองเป็นการหัดที่จะเรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้กาย เรียนรู้ใจของตนเองให้มากขึ้น เพราะเราอาจจะรู้เรื่องอื่น ๆ เยอะแยะมากมายด้วยการเรียน การอ่าน การฟัง แต่เป็นเรื่องภายนอก แต่การภาวนานี้จะเป็นเรื่องของการที่จะศึกษาด้านใน
ภายในก็มีอยู่ 2 เรื่องที่เราจะต้องตั้งใจศึกษาและเรียนรู้มัน เรื่องที่ 1 คือเรื่องของกาย อันหนึ่งคือเรื่องของกาย เราจะต้องเรียนรู้และศึกษามัน ในเรื่องของกาย เรื่องที่ 2 คือเรื่องของใจ ทีนี้เวลาจะศึกษาเรียนรู้เรื่องของกาย ก็ต้องเริ่มมาที่ไหนก่อน เริ่มที่กายเนี่ย เริ่มมารับรู้กายก่อน เราเริ่มต้นที่ตรงนี้เลย เราไม่ได้เริ่มต้นที่ตัวคิด เราไม่ได้เริ่มต้นที่ตัวคิด ตัวนึก ตัวตรรกะ ตัวเหตุผลอะไรทั้งสิ้น เราเริ่มต้นที่ตัวรู้เลย ไม่ใช่เริ่มต้นที่ตัวคิด
เบื้องต้นเนี่ยเราต้องหัดฝึกตัวรู้ก่อน ฝึกตัวรู้ที่จะมาใช้ดูกายดูจิต เพราะว่าเดิมทีเราจะใช้แต่ตัวคิด ตัวคิด ตัวนึกในการศึกษาชีวิต ในการใช้ชีวิตมีแต่การคิดการนึก แล้วก็ไหลไปตามอารมณ์ แต่วันนี้เราต้องหัดเริ่มจากความรู้สึกก่อน ต้องรู้จักความรู้สึกตัวก่อนว่า ทุกคนน่ะมีความรู้สึกตัวอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกตัวของทุกคนมันไม่ได้มารู้ที่กาย เพราะฉะนั้นชีวิตเราวัน ๆ หนึ่งเนี่ย เรามีการยืน การเดิน การนั่ง การนอน คู้ เหยียด เคลื่อนไหว เหลียวซ้าย แลขวา ก้ม เงย เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่เกิดขึ้นกับร่างกายเยอะแยะมากมาย แต่ว่าส่วนใหญ่ความรู้สึกเรานั้นไม่ค่อยได้สนใจภาวะเหล่านี้ ไปสนใจแต่ภาวะของความคิดและอารมณ์พอใจไม่พอใจ อารมณ์อื่น ๆ ที่มาทางตา หู จมูก ลิ้น ที่กลายเป็นอารมณ์ของความคิดนึก เราก็จะเอาความรู้สึกวิ่งไปตามอารมณ์เหล่านั้น แต่ถ้าเรารู้จักมันดี ๆ เนี่ย เราจะฝึกเอาความรู้สึก มารู้สึก มาตามที่กายก่อน ใช้กายเป็นฐาน ใช้กายเป็นฐานภาวนา
ในกรรมฐานวิธีอื่น ๆ เขาก็ใช้กายตัวนี้เป็นฐาน จะเป็นเรื่องของการใช้ลมหายใจบ้าง จะเป็นเรื่องของการใช้ พุทโธหรืออสุภะอะไรต่าง ๆ เนี่ย แต่วันนี้เราจะใช้ฐานกายของเราเองเป็นหลัก โดยอาศัยอาการกายที่มัน... ในเบื้องต้นนี่นะ ในเบื้องต้น เราจะใช้ความรู้สึกตัวเนี่ย ภาวะของความรู้สึก หัดมารับรู้กายก่อน ทีนี้ในร่างกายเนี่ยก็มีเยอะแยะมากมายที่จะเกิดขึ้น อาการยืน เดิน นั่ง นอน คู้ เหยียด เคลื่อนไหว แต่เบื้องต้นเนี่ย ให้เรา…
เราใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเราแต่ละคนน่ะ บางครั้งเราต้องทำการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราอยู่บ้าน ไม่ได้มาอยู่ที่วัด การภาวนามันก็จะ จะมานั่งแบบเหมือนอยู่วัดก็ไม่ได้ มาเดินจงกรม มาสร้างจังหวะแบบอยู่วัดในรูปแบบ ได้ยาก เพราะมันต้องทำภาวนา แต่ชีวิตมันมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เราจะเห็นได้ว่าชีวิตของเราน่ะ มันมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาเลยแหละ ทุก ๆ คน ตั้งแต่ตื่นจนหลับ การเคลื่อนไหวมีอยู่ตลอดเวลา แต่เราก็ไม่เคยเอาการเคลื่อนไหวเนี่ย มาเป็นเครื่องมือฝึกรู้ มันจะเป็นการเคลื่อนไหวทั้งภายนอกและภายในอยู่ตลอด ภายนอกก็คือการเคลื่อนไหวของร่างกาย
การเคลื่อนไหวเนี่ย ตัวการเคลื่อนไหวทั้งหมด เอามาเป็นเครื่องมือหลอกล่อ ฝึกซ้อมก่อน เพราะการเคลื่อนไหวเนี่ย มันเป็นการเคลื่อนไหวที่บริสุทธิ์ มันเพียว ๆ อยู่ มันเป็นการเคลื่อนไหวโดยธรรมชาติของร่างกาย มีอยู่ตลอดเวลา การเคลื่อนไหวของลมหายใจ การเคลื่อนไหวของหัวใจ หรือการเคลื่อนไหวที่หยาบ ๆ หน่อยก็คือการเคลื่อนไหวของมือ ของเท้า ของกาย ของร่างกายที่มันขยับเขยื้อนตลอดเวลา เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย เดี๋ยวเหลียวซ้าย แลขวา ก้มเงย หรือเอียงทางซ้าย เอียงทางขวา เยอะแยะ ที่เป็นการเคลื่อนไหวหยาบ ๆ หรือเป็นการเคลื่อนไหวของมือที่เอื้อมไปจับสิ่งของ หยิบสิ่งของ อันนี้ ทุกคนก็มีอยู่แล้ว แต่ทุกคนไม่เคยเอาความรู้สึกมาใส่ใจกับอาการเคลื่อนไหวที่มันมีอยู่แล้ว ที่มันเป็นอยู่แล้ว อยู่เรื่อย ๆ
ทีนี้พอขั้นยิ่งกลางเข้ามาหน่อยก็คือ การเคลื่อนไหวของลมหายใจ การเคลื่อนไหวของลมหายใจก็เป็นอีกอันหนึ่งที่ว่า เออ ขยับเข้ามาใกล้หน่อย แต่ถ้าละเอียดเข้าไปอีกคือการเคลื่อนไหวของอารมณ์ คือความคิด ของความคิดความนึก เรื่องของอารมณ์ที่มันพอใจไม่พอใจ อันนี้ก็เป็นการเคลื่อนไหวทางด้านนามธรรมอีกอันหนึ่ง ที่จะมีเคลื่อนไหวของเขาอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้เราก็เลยอาศัยว่า จิตมันชอบไปกับการเคลื่อนไหว ทีนี้เราก็เลยต้องอาศัยว่า เอาจุดที่มันชอบมัน มันชอบไปกับการเคลื่อนไหว ยิ่งการเคลื่อนไหวทางความคิด มันวูบมาแล้วจิตชอบไป เราก็เลยว่า เออ อาศัยจิตน่ะมาหัดกับการเคลื่อนไหวของร่างกายก่อน ประเด็นแรกเนี่ย คือร่างกายเนี่ย มาสำรวจร่างกายก่อนว่า เอ้า อย่างเบื้องต้นจริง ๆ เนี่ย ถ้าใครจะทำ เช่นมาสังเกตการเคลื่อนไหวของการกระพริบตาก็ได้ ในแต่ละครั้ง กระพริบตาทุกครั้ง ก็รับรู้มันไป แค่นั้นแหละ ทุกครั้งที่กระพริบตาเราก็รู้ หรือไม่บางคนจะหัดมาที่กลืนน้ำลายก็ได้ ทุกครั้งที่เรากลืนน้ำลายเราก็จะฝึกรู้ เนี่ย เราตั้งโจทย์ปณิธาน ตั้งโจทย์เอาไว้ ตั้งวาระจิตว่า เราจะ... ทุกครั้งที่มีการกระพริบตา ฉันจะทำให้ได้ ฉันจะรู้ให้ได้เนี่ย ถ้าเราตั้งโจทย์อย่างนี้บ่อย ๆ เรื่อย ๆ ทุกครั้งที่กระพริบตาก็รู้ กระพริบตาครั้งหนึ่งก็รู้ไป
แต่การรู้เบื้องต้นอาจจะมีการจดจ่อและตั้งใจหน่อยนึง แต่ก็เป็นการฝึกหัดให้จิตมันได้รับรู้ หรือใครได้รู้จักลมหายใจ ก็ เอ้า ตั้งใจรู้กับลมหายใจ แต่ให้มันสัมผัสได้บ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งได้แค่ครั้งเดียว วันหนึ่งน่ะ ถ้ามันได้ทุกครั้งได้ยิ่งดี ทุกครั้งที่กระพริบตา ทุกครั้งที่หายใจ ทุกครั้งที่กลืนน้ำลายหรือทุกครั้งที่เราเอื้อมมือไปจับอะไรเนี่ย เราหัดรับรู้มัน รับรู้การเคลื่อนไหวไปเล่น ๆ ไม่ต้องไปเอาผิดเอาถูก หรือไปเอาดีเอาไม่ดีอะไรทั้งนั้นแหละ แค่พาใจมันมาหัดรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายก่อน เพื่อจะให้มันหัด หรือจะให้มันฝึกจิตให้มันแยกออกจากความคิด ออกจากอารมณ์เสียบ้าง มาอยู่กับฐานกายเนี่ย เป็นเบื้องต้นก่อน อยู่กับฐานกายแบบไม่ต้องใช้ความคิด ใช้ความรู้สึกไปเลย ในเบื้องต้นหัดเอาตัวรู้น่ะ มาฝึกซ้อมกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย
หรือใครที่เคยสร้างจังหวะ เอ้า ก็มารู้สึกกับการเคลื่อนไหวแบบ 14 จังหวะ 14 จังหวะไป พยายามทำให้มันเป็นตลอด ให้มันแบบไม่มีกาลไม่มีเวลา รู้สึกได้ทุกครั้ง เหมือนกับกระพริบตา ไม่มีกาลไม่มีเวลา ถึงเวลามันก็จะกระพริบ ถึงเวลามันก็จะกลืนน้ำลาย ถึงเวลามันก็จะ เอี้ยว หันซ้าย หันขวาของมันเองมัน มันไม่มีกาลไม่มีเวลา มันจะเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ เหมือนหัวใจไม่มีกาลไม่มีเวลา มันก็เต้นของมันไปเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้นถ้าเรารับรู้ เราฝึกรู้แบบไม่มีกาลไม่มีเวลา มันจะทำให้เรา ตัวรู้ของเรามันจะเติบโตแล้วก็ต่อเนื่อง แล้วก็เติบโตเร็ว แต่ถ้าเราบล็อกให้มันเป็นกาลเวลาว่า ช่วงนี้ทำ ช่วงนี้ไม่ทำ มันก็จะทำให้การภาวนาของเราน่ะ มันมีเวลาจำกัด แต่ถ้าเราหัดนะ ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร จะเขียนหนังสือกับโต๊ะ หรือเล่นคอมอะไรต่าง ๆ ที่มันมีการขยับนิ้วมืออะไรก็ต่าง ๆ เวลาเราทำงานน่ะ มันมีการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว ระหว่างการเคลื่อนไหว ในงานน่ะ มันจะมีเรื่องงาน แล้วก็มีการเคลื่อนไหวที่ทำงาน อ่ะ เราก็วางแผนเรื่องงานจบ แล้วก็มาสนใจเรื่องการเคลื่อนไหวในการทำงานต่อ ฉะนั้นใครเล่นคอมพิวเตอร์ ก็ เอ้า เวลานิ้วมันเคลื่อนไหว ก็รู้สึกกับการเคลื่อนไหวของนิ้วไป รู้บ้างไม่รู้บ้างแต่พยายามจะรู้ไว้ เพื่อจะให้มันได้ภาวนาตลอด
คำว่าภาวนา คือ กลับมารู้ตรงนี้แหละ เบื้องต้นก่อน กลับมารู้การเคลื่อนไหวนี้ให้ได้ก่อน
ฉะนั้นการเคลื่อนไหวนี้มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งที่เป็นธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนทำขึ้น ส่วนธรรมชาติจะเป็นส่วนที่เขาเกิดเอง เกิดเองแล้วเรารับรู้เอง เหมือนกับเรารู้กระพริบตา ให้กระพริบตาไปก่อน แล้วค่อยรู้ ไม่ต้องไม่ใช่... ให้เขากระพริบตาไปก่อนแล้วค่อยรู้ ให้กลืนน้ำลายก่อนแล้วค่อยรู้ หันซ้ายหันขวาก่อนแล้วค่อยรู้ อันนี้เขาเรียกว่าเป็นรู้แบบธรรมชาติ ให้เขาเกิดก่อน ให้เขามีอาการเกิดก่อนแล้วเราค่อยรู้ไป นี่คือรู้ธรรมชาติ
แต่รู้แบบทำขึ้น คือ เรามีเจตนาตั้งใจจะรู้กระพริบตา ตั้งใจจะรู้ลมหายใจ นี่เขาเรียกว่าเราตั้งใจมัน ตั้งใจขึ้นมาก่อน เพื่อที่จะรู้การเคลื่อนไหว อันนี้เป็นการทำขึ้นมา ตั้งใจขึ้นมาก่อน แล้วรู้การเคลื่อนไหว รู้กระพริบตาบ้าง รู้หายใจบ้าง ในบางครั้งมันจะจดจ้อง แล้วก็อึดอัด ฉะนั้นเราต้องรู้จังหวะ 2 จังหวะนี้ให้ดี ๆ ถ้าจังหวะไหนมันอึดอัด เอ้า แสดงว่ามันเพ่ง มันจ้องมากไป เราก็ผ่อนคลายมา เอ้า ให้มันเกิดก่อนแล้วเราค่อยรู้ตาม เกิดก่อนแล้วรู้ตาม รู้ตามหลังไว ๆ รู้ตามหลังไว ๆ มันเกิดแล้วก็รู้ไป ๆ หัดอันนี้ ในเบื้องต้นเนี่ย หัดตรงนี้ให้ชัด ๆ
พอมันเริ่มรู้จักการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ถี่ ๆ บ่อย ๆ ถี่ ๆ บ่อย ๆ บ่อยเข้า ๆ บ่อยเข้าเนี่ย เดี๋ยวมันก็จะเริ่มขยายผลในการเห็นการเคลื่อนไหวของเสียงที่ผ่านหู กลิ่นที่ผ่านจมูก รสที่ผ่านลิ้น รูปทั้งหลายที่ผ่านตา นี่คือขบวนการของการเคลื่อนไหว มันก็จะมีตั้งแต่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส สัมผัส คือ สิ่งที่มากระทบสัมผัสกับร่างกาย ร้อน เย็น อุ่น หนาว อะไรต่าง ๆ หรือมีอาการปวด อาการเมื่อย มันก็จะมีเป็นการเคลื่อนไหว มากระทบกับร่างกายเราอยู่ตลอด เราก็หัดนะ หัดที่จะรับรู้การเคลื่อนไหวของส่วนนี้ให้มากก่อน ในเบื้องต้น เพราะว่าการที่จะฝึกตัวรู้ที่มารู้การเคลื่อนไหวของร่างกายเนี่ย มันจะเป็นการได้ 2 ส่วน หนึ่งเป็นส่วนที่ไม่ต้องคิด ส่วนที่ไม่ต้องคิด ไม่ต้องใช้การคิดเลย ไม่ต้องใช้เหตุผล ไม่ต้องใช้ตรรกะ ไม่ต้องใช้ภาษาใด ๆ ทั้งสิ้นกับมัน มันจะมีอยู่แล้ว ปรากฏอยู่แล้ว เราก็เอาตัวรู้ที่แบบมันไม่ต้องใช้ความคิด ที่มันรู้ของมันอยู่แล้ว หัดรู้ร่างกายไปก่อน ในส่วนร่างกายที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ เป็นส่วนของอารมณ์ปัจจุบันเนี่ย เราก็หัด หัดให้มันสัมผัส รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตัวนี้ที่มันถูกต้องตา หู จมูก ลิ้น กาย มันเป็นการเคลื่อนไหวที่มีภาวะอยู่ในปัจจุบัน และเป็นภาวะที่ไม่ต้องคิด เราก็ฝึก ฝึกอันนี้ไปก่อน ฝึกไปเรื่อย ๆ
พอฝึกมากเข้า ๆ ทุกครั้งที่เรารู้ได้บ่อย เอาเงื่อนไขว่า ถ้าเรารู้ได้บ่อยนะ อะไรเกิดขึ้นมาวูบหนึ่ง รู้ได้บ่อยและรู้สั้น ๆ ไม่ต้องไปรู้ยาว รู้สั้น ๆ แค่รู้แล้วทิ้งเลย แค่รู้แล้วทิ้งเลย คำว่าทิ้งนี้เนี่ย หมายความว่า สิ่งนั้นจะหายก็ได้ ไม่หายก็ได้ แต่ฉันทิ้ง ไปรู้เรื่องใหม่ต่อ ไปรู้เรื่องใหม่ต่อ รู้เรื่องใหม่ต่อ
อันนี้เป็นการฝึกรู้ทางด้านส่วนของร่างกาย เราก็จะเห็นโซนของรูป เขาเรียกว่าโซนของรูปเนี่ย มันไม่ต้องคิด แต่เราเอาตัวรู้มาหัด ฝึกหัดรู้ ภาวะรู้ที่ไม่ต้องคิดเนี่ย ให้มาก ๆ เพื่อให้มันหัด เพื่อต้องการฝึกหัดให้มันแยก ให้มีนิสัยในการแยกตัวออกจากความคิด ไม่อย่างนั้นแล้ว ตัวรู้สึก ภาวะของรู้กับคิดเนี่ย มันจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมดเลย โดยเรา ถ้าเราไม่หัดแยก รู้อะไรก็คิดไอ้นั่น คิดอะไรก็รู้อันนั้น นี่คือคนที่ยังไม่ได้ฝึก มันจึงรู้โกรธแล้ว มันจึงคิดกับความโกรธ แล้วก็เป็นไปกับความโกรธ เพราะมันไม่มีกำลังของตัวรู้ที่ไม่ต้องคิด เพราะตัวรู้นี้ มันเป็นตัวรู้ที่เดิมแท้ ที่ทุกคนมีมาแล้วตั้งแต่เกิด รอการพัฒนาเฉย ๆ เราไม่ได้ต้องไปแสวง หาหรือทำตัวรู้ขึ้นมาใหม่ รู้เดิมนั่นแหละ เดิมแท้ของชีวิตน่ะ มันมีอยู่แล้ว ภาวะนี้
เด็ก ๆ ที่เราเกิดขึ้นมาครั้งแรก เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ เราก็รับรู้โลกใบนี้โดยยังไม่มีภาษา ไม่มีเหตุผล ไม่มีตรรกะ ไม่มีความชอบหรือไม่ชอบอะไรทั้งสิ้น ก็ตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้มันตามที่โลกนี้มันเป็น สิ่งที่โลกนี้เป็นก็คือ รูปมันก็เป็นรูป เสียงมันก็เป็นเสียง กลิ่นก็เป็นกลิ่น รสก็เป็นรส ผัสสะทั้งหลายก็เป็นผัสสะ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็เป็น เย็น ร้อน อ่อน แข็งของมันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว พอเราโตขึ้นมาหน่อยปุ๊บ เรามีสมมติเข้าไปครอบงำ มีความคิด มี ภาษา มีชื่อ มีความหมายเข้าไปครอบงำ สิ่งเหล่านี้แหละ มันก็เลยบดบังจิตเดิมแท้ของเราที่เรามีอยู่แล้ว
ฉะนั้นเราต้องหาโอกาส หาจังหวะมากระตุ้นมัน กระตุ้นไอ้ตัวนี้ ตัวรู้เดิมแท้ของเราที่มันรู้แบบไม่ต้องคิด ไม่ต้องใช้การคิดเลย ใช้การรู้ และสิ่งที่ไม่ต้องคิดมีเยอะแยะ ตาคิดไม่เป็น หูคิดไม่เป็น จมูกคิดไม่เป็น ลิ้นคิดไม่เป็น กายคิดไม่เป็น เนี่ย สิ่งเหล่านี้เขาคิดไม่เป็น ความคิดไม่ได้อยู่ในสิ่งเหล่านี้
ฉะนั้นเรื่องที่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสมากระทบกับอายตนะภายนอก คือตา หู จมูก ลิ้น กาย เนี่ย เป็นโซนที่เราสามารถเอาตัวรู้สึกตัวมาฝึกซ้อม ฝึกซ้อมรู้แบบไม่ต้องคิด รู้แบบซื่อ ๆ รู้แล้วไม่ได้ทำอะไร รู้แบบซื่อ ๆ รู้แบบไม่ได้ทำอะไรกับมัน ปล่อย แล้วปล่อยทุกอย่างให้เขาเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เขาจะร้อนก็ปล่อยให้ร้อนมันเกิดขึ้นมา เย็นก็ปล่อยให้เย็นเกิดขึ้นมาโดยตามธรรมชาติของเขา เราไม่ต้องไปดิ้นรนตามภาวะพวกนี้ เดี๋ยวเขาก็เปลี่ยนไป ๆ บรรเทามันได้บ้างก็บรรเทาไป บรรเทาไม่หายก็อยู่กับมันไป ตามที่มันเป็นนั่นแหละ อันนี้อันหนึ่ง
พอเราตรงทำตรงนี้ได้มั่นคง เราก็จะเริ่มเห็นตัวข้างใน ข้างในที่เป็นความคิด ที่เป็นอารมณ์พอใจ ที่เป็นอารมณ์ไม่พอใจ ที่เป็นความอยาก ที่เป็นความโกรธ ที่เป็นความโลภ ที่เป็นความหลง ที่มันเป็นข้างใน โลภะ โทสะ โมหะอะไรพวกนี้ ที่มันเกิดมาข้างใน มันก็จะเริ่มเห็น อ๋อ มันจะมีอีกส่วนหนึ่งนะที่มันอาศัยจากการปัจจุบันที่กระทบสัมผัสแล้ว ก็สร้างเรื่องขึ้นมา เป็นอดีตกับอนาคต มันอาจจะคิดร้อยเรื่องพันเรื่องหมื่นเรื่องแสนเรื่อง แต่เรื่องที่มันจริง ๆ มีแค่เรื่องเดียวคือมันกำลังคิด แต่เรื่องที่มันกำลังคิด ความคิดนั่นแหละเป็นเรื่องจริง เรื่องเดียว แต่เรื่องที่คิดอาจจะไม่จริงก็ได้ เป็นมโนภาพเอา
เราก็หัด พอเราหัดรู้ตรงนี้บ่อย ๆ เข้าเนี่ย รู้ทางกาย ทางภายนอกที่มันไม่ต้องคิด บ่อยเข้า ๆ จิตเดิมแท้ของเรา มันก็จะเริ่มสัมผัส เขาเรียกว่าสัมผัสกับสภาวะของตัวรู้ล้วน ๆ ตัวรู้ถ้วน ๆ ตัวรู้ชื่อ ๆ ตัวรู้ที่เกิดมาแบบไม่ต้องใช้ความคิดเลย มันก็จะเริ่มคุ้นชินกับการรู้ที่ไม่ต้องคิดมากเข้า ๆ แล้วข้างในมันก็จะสงบ คำพูดต่าง ๆ ความคิดต่าง ๆ คำสั่งต่าง ๆ มันก็จะสงบลงไป ในเมื่อเราหัดรู้ข้างนี้มากเข้า ๆ เวลาใหม่ ๆ เนี่ย มันจะเผลอเข้าไปข้างในก่อน เวลามันเผลอเข้าไปข้างใน เราจะเห็น เวลาเราภาวนาไป ๆ ปุ๊บ เรารู้ฐานกายดี ๆ ถ้ามันไปกับความคิดปุ๊ปน่ะ กายมันจะหาย ตา หู จมูก ลิ้น กายมันจะหายไปเลย มันจะไปอยู่กับมโนภาพภายในใจ เป็นความคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่องนั้นไปเรื่อย ๆ เนี่ย ถ้าเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราต้องรีบออก รีบออกมา รีบออกมาจากภายในที่มันเป็นความคิดนึก ที่มันเป็นความพอใจไม่พอใจเนี่ย หัดออก พอเห็นปุ๊บ มันจะรู้เลยว่า อ๋อ ถ้ามันเข้าไปนะ ภายนอกเราจะหาย กายเราจะหาย เสียงก็จะหาย ตาก็จะไม่เห็น ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เคลื่อนไหวอยู่เราก็จะไม่รู้ อันนี้ คนส่วนใหญ่ ยืน เดิน นั่ง นอน (แล้ว)ไม่ค่อยรู้เพราะเข้าไปข้างใน จิตน่ะ เข้าไปอยู่กับความคิด อยู่กับอารมณ์ข้างใน จนลืมกายเลย
ทีนี้ถ้าเราหัดบ่อย ๆ เนี่ย เราหัดกลับมา เอาออก ฝึกออก ฝึกออก ถ้าเขาเข้าไปก็ฝึกออกมารู้ภายนอกไปเรื่อย ๆ ยืนหลักฐานอันนี้เอาไว้ให้มั่นคง คอยดักตรวจเช็ค อ๋อ ตอนนี้ ถ้ามันเข้าไปแล้วมันจะหายนะ การเดินก็จะหาย การรู้เรื่องเคลื่อนไหวทางกายก็จะหายไปหมดเลย ไปรู้การเคลื่อนไหวทางข้างใน รู้บ่อยเข้า ๆ ด้วยอุปนิสัยที่มักหลง มันก็จะหลงไป หลงไปเป็นตามอารมณ์นั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ เราก็พยายาม เวลามันโกรธ มันเกลียดอย่าไปทำอะไร ออกมา ออกมาดูว่ากายกำลังทำอะไรอยู่ ออกมาอยู่กับปัจจุบัน ฝึกซ้อม พอซ้อมไปซ้อมมา ฝึกรู้ไปรู้มา เราจะเห็นเลย
พอฝึกบ่อย ๆ เข้า เราจะเห็น อ๋อ มันมี 2 ส่วน ส่วนของร่างกายที่มีตา หู จมูก ลิ้น มีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีสัมผัสนี่ก็ส่วนหนึ่ง ส่วนของความคิดนึก ที่เป็นอารมณ์ ส่วนของความคิดนึกที่เป็นอารมณ์พอใจไม่พอใจ เป็นความคิดนึก เป็นตรรกะ เป็นเหตุผล เป็นความทะยานอยาก อยากโน่นบ้าง อยากนี่บ้าง ชอบจัดการโน่นนี่บ้าง มันจะเป็นส่วนภายใน ส่วนตัวรู้ที่มันรู้ทั้ง... มันรู้ของมันล้วน ๆ รู้ของมันเฉย ๆ รู้แล้วไม่ได้อะไร แค่รู้ มันก็จะแยกตัวเองออกมาได้ชัด เมื่อมันแยกตัวเองออกมาได้ชัดปุ๊บ มันก็จะเริ่ม มันก็จะเริ่มดีขึ้น มันจะเริ่มเห็นหลัก เห็นหลักของการภาวนา หลักของการภาวนาเนี่ย
ไอ้หลักตรงนี้ หลักตัวรู้สึกตัวที่มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องข้างนอกเรื่องข้างใน มันจะค่อย ๆ เกิดขึ้นมา มันจะมีตัวรู้สึกตัวที่รู้อยู่ว่าเรื่องข้างนอกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมันก็เป็นเรื่องของมัน ที่เกิดตามเหตุตามปัจจัยของธรรมชาติเองมัน เรื่องข้างในที่มันคิด มันนึก มันปรุงแต่ง มันก็เป็นเรื่องของมัน จะโกรธ จะเกลียด จะรัก จะชัง จะชอบ จะสงบ จะดีอะไรก็ช่าง ก็ตามมันก็เป็นเรื่องของมัน มันมาแล้วมันก็จะหายไป มันเกิดแล้วมันก็จะดับไป มันอยู่ไม่ได้ มันมาแล้วมันก็หาย เกิดแล้วก็ดับ มันเป็นทุกข์อยู่ในตัวของมันเองเสร็จ เราก็จะเห็นภาวะของตัวรู้ที่มันรู้อยู่ระหว่างนี้ ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับความทุกข์ของทั้งสองฟากฝั่งนี้ แล้วจิตใจของเราก็จะเริ่มเข้มแข็งขึ้นมา มันจะเริ่มเห็นว่า อ๋อ ภาวะรู้ล้วน ๆ รู้ที่ไม่ได้ปนกับอะไร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไร มันเป็นภาวะของมันอย่างนี้เอง โดยเราเริ่มจากตรงนี้ เริ่มจากฐานที่มาฝึกตัวเคลื่อนไหวทางกายภายนอกนี้ก่อน เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องใช้ความคิดนึกอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ฝึกรู้ไป
ฉะนั้นใครจะฝึกรู้แต่ละวัน เราฝึกตรงนี้ให้มาก ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม คอยเพิ่มพูนมันเรื่อย ๆ เขาเรียกว่ามีการตรึก ตรึกว่าฉันจะทำเรื่องนี้ ทำเรื่องนี้ ทำเรื่องนี้ บ่อย ๆ ไอ้การตรึกที่จะทำเรื่องนี้บ่อย ๆ มันจะทำให้เรามีสติและทำให้เรามีสมาธิแน่วแน่กับเรื่องนี้ ไม่หลงลืม ถึงลืมแต่กลับมาได้บ่อย กลับมาได้ไว มันเลยทำให้เราเนี่ย ถ้าเราอยู่ตรงนี้ได้บ่อย ๆ เข้า เราจะเห็นเลยว่า เราจะเริ่มเห็นว่า เออ อยู่ตรงนี้มันมีความสุขนะ ไม่เหมือนกับความสุขเมื่อก่อน ความสุขของเมื่อก่อนเนี่ย เราต้องวิ่งไปตามความคิด วิ่งไปตามอารมณ์ เมื่อได้สนองตอบตามอารมณ์ที่ตัวคิดตัวเองอยากแล้วก็จะมีความสุข แต่ความสุขนั้นเดี๋ยวก็จะหายไป แล้วก็จะอยากต่อไปอีกเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ผลสุดท้าย วันหลังมันจะเบื่อ นั่นก็ทำมาแล้ว นี่ก็ทำมาแล้ว โน่นก็ทำมาแล้ว ไม่เห็นมันดีสักอย่าง มันจะเริ่มเบื่อ เริ่มหน่าย เริ่มเศร้า เริ่มหาตัวใหม่เรื่อย ๆ แต่ถ้าตรงนี้ มันจะเป็นความสุขที่ไม่ต้องไปวิ่งหาอะไร ความสุขที่จะอยู่กับตัวเอง อยู่กับตัวรู้ที่ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ แต่มีอารมณ์ อยู่กับตัวรู้ที่มันรู้อารมณ์ ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ไม่ได้เป็นไปตามอารมณ์นั้นบ่อย ๆ
ฉะนั้นเวลาเราไปภาวนาปุ๊บเนี่ย แต่ละวัน จะกินข้าว อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเนี่ย หัด หัดให้มันรู้ให้ได้ บางครั้งที่เคยสอน ๆ ไปน่ะ เคยหัดใช้ หัดแบ่งกิจกรรมแต่ละเรื่องเป็น 3 ช่วง ก่อนทำเรื่องนี้ อ่ะ รู้ตัวหรือยัง กำลังทำเรื่องนี้ รู้ตัวได้เท่าไร หลังจากทำเรื่องนี้แล้วก็เช็ค เออ เราทำเรื่องนี้ เรารู้ได้ตั้งหลายครั้ง เราเกิดภาวะของการรู้สึกตัวได้หลายครั้ง ก่อนแต่ละเรื่องเนี่ย ลองแบ่งชีวิตแต่ละเรื่อง ๆ ซอยให้มันเป็นช่วง ๆ อย่าให้มันไหลยาว มันจะได้เห็นความเป็นขณะหนึ่ง ๆ จะเห็นความเป็นเกิดสั้น ๆ แต่เกิดบ่อยของมัน ในภาวะนี้ เมื่อตัวนี้มันเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ เข้า บ่อยเข้า ๆ มันก็จะเริ่ม ใจมันก็จะเริ่มสงบนิ่งขึ้น ที่เคยวิ่งไป
คำว่าใจสงบนิ่ง ไม่ใช่ว่าอารมณ์มันจะสงบนิ่งนะ อารมณ์ก็ยังมีเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ใจน่ะ มันหยุด หยุดการวิ่ง วิ่งแส่ส่ายไปตามอารมณ์ วิ่งไปตามอารมณ์ มันหยุด มันแค่หยุด(แล้ว)รู้อารมณ์ หยุด(แล้ว)เรียนรู้อารมณ์ หยุด(แล้ว)สังเกตเรียนรู้อารมณ์เฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปจัดการเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มันก็จะเบา มันก็จะสบาย ชีวิตมันก็จะง่ายขึ้น ๆ เพราะว่าในโลกปัจจุบันนี้ แต่ละคนน่ะ อารมณ์มันเร่าร้อน มันเร่าร้อน อารมณ์ของแต่ละคนมันร้อน อากาศก็ร้อนและเศรษฐกิจก็ย่ำแย่ โรคภัยไข้เจ็บก็มาอีก แล้วก็ เราฟังข่าวแต่ละวัน ๆซึมซับแต่อกุศลไป เรื่องดี ๆ มีเยอะแยะ มันก็ไม่ค่อยได้ซึมซับ ไม่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่เรื่องที่ไม่ดี ๆ มันซึมซับเข้าไปปุ๊บ มันก็ส่งผลให้เราน่ะ จิตเราน่ะ ไหลไปตามอารมณ์นั้น ๆ เมื่อไหลตามอารมณ์นั้นปุ๊บ อารมณ์นั้นมีอำนาจ มันก็บีบบังคับให้เราต้องวิ่งตามมัน ต้องทำตามมัน
ฉะนั้นเราต้องหัด ต้องหัด อยู่บ้าน(หรือ)อยู่ที่ไหนก็ตาม หัดภาวนา มันง่าย ๆ ที่ว่ากลับมา รู้จักกับตัวรู้เนี่ย เบื้องต้นเราอาจจะยังไม่รู้จักตัวรู้ ก็ เอ้า มารู้ที่อาการเคลื่อนไหวของร่างกายไปก่อน นานเข้า ๆ มันก็จะเริ่มรู้อาการกระพริบตาบ้าง กลืนน้ำลายบ้าง เย็นบ้าง ร้อนบ้าง เนี่ย มันจะค่อย ๆ ซึมซับเข้ามาเรื่อย ๆ พาใจมาสัมผัสกาย มารู้เรื่องของกายที่มันเป็นอยู่ เอาเรื่องของกายที่มันเป็นอยู่เป็นฐาน เป็นหลัก
ก็อยากจะฝากไว้ว่า ให้พวกเราหัด ต้องหัดฝึก ถ้าเราไม่ฝึกเรื่องตรงนี้นะ ถ้าไม่เอาอันนี้เป็นวาระแห่งชีวิตเนี่ย แล้วเราจะเอาชีวิตของเราเอง ไปทำเป็นแบบเหมือนเดิม ๆ มันก็ได้อย่างเดิมนั่นแหละ ได้ทุกข์ ได้ยาก ได้ลำบาก ได้วุ่นวาย ได้โลภ ได้โกรธ ได้หลงเหมือนเดิม เพราะว่าชีวิต ถ้าเราปล่อยไปกับการหลง มันก็จะไปเส้นทางของมันนั่นแหละ หลงไปทุกเรื่องทุกราว ถ้าเรามีชีวิตกับการรู้ มันก็ไปตามเส้นทางของมัน มันก็จะได้เรียนรู้และศึกษาได้ทุกเรื่องทุกราว อยากฝากไว้ให้พวกเราน่ะ ได้หัด ได้หัดภาวนา ได้หัดสอนภาวนากันไป ทีนี้เวลา ถ้าเรายังไม่เข้าใจ ฟังไม่เข้าใจเรื่องการภาวนาอะไร เดี๋ยวตอนท้าย ตอนจบเนี่ย ก็จะแจกคู่มือ คู่มือความรู้ส่วนหนึ่ง เอาไปอ่านดู เอาไปอ่านดู วิธีการฝึก วิธีการสังเกต วิธีการเรียนรู้ที่จะฝึกตัวรู้สึกตัว มันมีกี่ลักษณะ มีกี่แบบ มีกี่อย่าง เดี๋ยวแจกไปให้ตอนท้ายนะ
30:20 ถาม_ตอบ : วิธีวัดความก้าวหน้าทางธรรม
33:40 ถาม_ตอบ : วางจิตอย่างไรในสังคมปัจจุบัน
##โยมถาม การให้ความสำคัญกับการเจริญทางวัตถุ การแข่งขัน ให้รางวัล จัดลำดับ ยศ ตำแหน่ง ต่างๆ ที่มีในสถาบันต่างๆ หน่วยงาน /องค์กรต่างๆ ในทิศทางที่สอดคล้องทางเดียว และอาจกล่าวได้ว่า ผู้คนที่อยู่ภายใต้กระแสดังกล่าว มีจำนวนไม่น้อย ที่สร้างความแข็งแรงกับระบบดังกล่าวจึงเป็นกระแสหลักที่เป็นอยู่ในสังคมเมือง ....คำถาม หากการไม่เดินไปกับสิ่งล่อ ที่มาในรูปแบบต่่างๆ ซึ่งการเผชิญหน้ากับกระแสหลัก ดังกล่าว ควรทำความเข้าใจกับตนเอง และคนรอบข้าง อย่างไร เพื่อให้ไม่ย้อนแย้งกับกระแสวัตถุนิยมดังกล่าว ที่เป็นอยู่ในสังคมเมืองประเทศไทยในปัจจุบัน(Thailand 4.0)
##พอจ.กระสินธุ์ ตอบ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่สังคมยกยอให้เกียรติกัน ถ้าเรามีเรื่องเหล่านี้ มีแล้วเราหลงกับมันไหม? ถ้าไม่หลง...ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มี แล้วอยากให้มี ...... อันนี้คือหลง
ถ้ามีเราก็รับไปตามนั้น แต่ไม่ไปหลง ใจที่ภาวนาฝึกมากเข้าๆ ใจมันจะเข้าใจ พระพุทธเจ้าอุปมาว่า เหมือนเดินอยู่บน กองคูต กองขี้ แต่เท้าไม่ติดพื้น
คนภาวนาที่เข้าถึงจะเข้าใจ เขาให้ตำแหน่งมา เราก็รับไปตามเรื่อง ไม่ได้ขวนขวายที่จะได้ แต่ได้มาด้วยธรรม ด้วยความชอบของมันเอง
เราก็ใช้ประโยชน์จากคนเคารพศรัทธา ช่วยสื่อสะท้อนนำให้คนมาสนใจ ปฎิบัติภาวนามากขึ้น ไม่ใช่หลงไปกับกระแสวัตถุ สรรเสริญเยินยอมากมาย
เราไม่ขัดแย้งกับโลก โลกเขาว่าอย่างไร เราก็ว่าอย่างนั้น แต่อย่าเอาใจไปหลง ไปเสพติดกับมัน
พยายามให้ได้มาด้วยธรรม อย่าใช้เล่ห์เหลี่ยมของเราที่จะแสวงหามัน อย่างนั้นไม่ควรทำ
เรารับไปตามหน้าที่ เมื่อมีอำนาจหน้าที่แล้วใช้จัดการ ทำให้คนดีขึ้น ก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ ......ไม่หลงมัน
สรุปคือไม่ขวนขวาย แต่ไม่ปฎิเสธ และใช้ประโยชน์จากมัน
38:00 ถาม_ตอบ : ทุ่มเทกับการปฏิบัติต้องเป็นอย่างไร
วันที่ 12 มิถุนายน 2563 ณ ห้องไลน์ฟังธรรม
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Sunday Jun 14, 2020
ฝึกฝืนจากต้นคิด พจ.กระสินธุ์ 131262
Sunday Jun 14, 2020
Sunday Jun 14, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
วันที่ 13 ธันวาคม 2562 ตอนค่ำ ณ ม่อนมิ่งขวัญ ดอยสะโง้
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ

Thursday Jun 11, 2020
ก้าวข้ามด้วยอินทรีย์5 พจ.กระสินธุ์ 121262
Thursday Jun 11, 2020
Thursday Jun 11, 2020
ธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
วันที่ 12 ธันวาคม 2562 ตอนเช้า ณ ม่อนมิ่งขวัญ ดอยสะโง้
ช่องทางอื่นๆในการรับสื่อธรรมะ
YouTube, FaceBook พระอาจารย์กระสินธุ์
Podcast : รู้ขณะเดียว
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ติดตามรับฟัง..สาธุ