Episodes
Wednesday Feb 27, 2019
เรียนรู้ใน_รู้นอก : 120961
Wednesday Feb 27, 2019
Wednesday Feb 27, 2019
ให้แยกออกเป็น 2 กลุ่มไปเลย กลุ่มเรื่องข้างในก็เอาไว้ข้างใน กลุ่มเรื่องข้างนอกก็เอาไว้ข้างนอก เมื่อเราแยกออกเป็น 2 กลุ่มนี้ เราจะเริ่มเห็นภาวะของตัวรู้ที่อิสระ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องข้างใน และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องข้างนอก มันจะเห็นช่องทางทีมันจะไป ช่องทางเดิน เหมือนกับมรรคมีองค์8 ทางสายกลาง เดินระหว่างกลาง
ธรรมะบรรยายโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท 12 ก.ย. 61 สวนโมกข์กรุงเทพ
Wednesday Feb 27, 2019
06 แนะนำการปฏิบัติ พอจ.กระสินธุ์ (บ่าย) 030262C
Wednesday Feb 27, 2019
Wednesday Feb 27, 2019
ธรรมะเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท 3 ก.พ. 62
คอร์สธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ(ศูนย์4)
Wednesday Feb 27, 2019
05 สอนผู้ใหม่ พอจ.กระสินธุ์ พม.ราเชน 030262B
Wednesday Feb 27, 2019
Wednesday Feb 27, 2019
คอร์สธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ธรรมะเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
และพระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 3 ก.พ. 62
ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ(ศูนย์4)
Wednesday Feb 27, 2019
04 ธรรมะรับอรุณ พอจ.กระสินธุ์ พม.ราเชน 030262A
Wednesday Feb 27, 2019
Wednesday Feb 27, 2019
คอร์สธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ธรรมะเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
และพระมหาราเชน สุทธจิตโต
วันที่ 3 ก.พ. 62
ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ(ศูนย์4)
Wednesday Feb 27, 2019
03 ถาม_ตอบปัญหา พอจ.กระสินธุ์ พม.ราเชน
Wednesday Feb 27, 2019
Wednesday Feb 27, 2019
ธรรมะเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
และพระมหาราเชน สุทธจิตโต
2 ก.พ. 62
คอร์สธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ(ศูนย์4)
Wednesday Feb 27, 2019
หลักของภาวนา_ผู้รู้ : 011260
Wednesday Feb 27, 2019
Wednesday Feb 27, 2019
ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะฝึกอะไร รูปแบบต่างๆนี่มันเป็นเพียงแค่อุปกรณ์ ทุกอุบายจะเข้าไปสู่เป้าหมายคือ การฝึก ..ฝึกจิต ฝึกใจ ใจ คือ ตัวภาวะที่รับรู้อารมณ์ หรือที่เราเรียกกัน ผู้รู้ ผู้ดู กรรมฐานมีหลายวิธี ต้องเข้าใจว่าเวลาเราทำ วิธีใดก็ตาม ต้องให้เกิดภาวะตรงนี้ให้ได้ ไม่งั้นเราจะเกิดแต่ผู้นึก ผู้คิด ถ้าเราไม่มีผู้รู้ ผู้ดู เราก็จะมีผู้นึก ผู้คิดขึ้นมาแทนที่ ความคิดจะสร้างภาพ สร้างความฝัน สร้างเพื่อให้เราลืมตัวเรา ให้ลืมรู้ตัวเอง ฉนั้นให้เราตั้งใจมาฝึกภาวะของผู้ดู ผู้รู้ ผู้รู้ ผู้ดู มีอยู่ 2 กลุ่ม : เกิดจากธรรมชาติ หรือเกิดจากสร้างขึ้นมา ฝึกเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการรู้กาย รู้ใจของตัวเองกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มเป็นการรู้แบบธรรมชาติ อะไรมากระทบ รู้ ถ้าไม่รู้ มันจะเลยไปคิด ตรงช่วงนี้มันจะชิงกันระหว่างฝึกรู้ หรือฝึกคิด แต่สิ่งมากระทบ มีอยู่ตลอด เรามาฝึกว่าตัวรู้ที่เกิดโดยธรรมชาติเป็นยังไง แล้วตัวรู้ที่สร้าง อาการเคลื่อนไหวมากระทบ มาอาศัยร่างกายเกิด เป็นแค่สิ่งที่มากระทบกับร่างกาย แล้วเดี๋ยวก็หายไป เป้าหมายเราต้องการฝึกผู้รู้ ผู้ดูที่เป็นธรรมชาติ และผู้รู้ ผู้ดูที่เรากำลังซ้อม การเคลื่อนไหวที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อซ้อม ซ้อมเพื่อให้เกิดการรู้ การดูขึ้นมา ตัวเคลื่อนไหวไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอา รูปแบบทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอา จะเป็นวิธีใดก็ตาม เราไม่ได้เอารูปแบบนั้น เอาตัวรู้ ตัวดูไปฝึกอยู่กับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เท่านั้นเอง รูปแบบจึงเป็นแค่เครื่องมือ เป้าหมายคือทำอย่างไรจะไปเรียนรู้กาย เรียนรู้ใจให้ได้ โดยให้เกิดภาวะผู้รู้ ผู้ดู แทนผู้นึกผู้คิด แต่ไม่ใช่ไปทำลายผู้นึก ผู้คิดนะ ไปแทนที่ ไม่ใช่ทำลาย ธรรมะบรรยายโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท 1 ธันวาคม 2560 ณ ดอยสะโง้ว
Wednesday Feb 27, 2019
02 แนะนำการปฏิบัติ พอจ.กระสินธุ์ 020262B
Wednesday Feb 27, 2019
Wednesday Feb 27, 2019
ธรรมะเทศนาโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท 2 ก.พ. 62
คอร์สธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ(ศูนย์4)
Monday Feb 25, 2019
ฝึกภาวะตัวรู้
Monday Feb 25, 2019
Monday Feb 25, 2019
ฝึกภาวะตัวรู้
รูปทั้ง 5 เนี่ย ถ้าเรารู้สึกกับรูปที่เป็นปัจจุบัน จะเห็นความเป็นขณะหนึ่งของมันทั้งหมด อย่างที่เราฟังเสียงนกเนี่ย สังเกตมั้ย เดี๋ยวอันนี้ก็เกิด เดี๋ยวก็ดับไป เดี๋ยวก็เปลี่ยนไป เดี๋ยวก็ดับไป เดี๋ยวนกบินผ่านมาวูบแล้วก็หายไป ถ้าฝึกดีๆเอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มันเคยทำอะไรกับใจ เอามาฝึกโดยอาศัยอารมณ์ปัจจุบันเป็นหลัก เพราะอารมณ์ปัจจุบันจะเปลี่ยนตัวได้ไว ไม่แช่ ไม่จมอยู่ แม้แต่ฟังเสียง มันไม่ได้ฟังเสียงยาวเลยนะ มันเป็นแค่ วุ้บนึงๆ แล้วก็ดับๆ ถ้าเราคุ้นกับภาวะที่มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ภาวะพวกนี้เราไม่ได้ทำ ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องไปทำให้มันเหนื่อยเลย เพียงแต่รับรู้ว่ามันทำ รับรู้ว่ามันเกิด รับรู้ว่ามันดับ
อารมณ์ของการเกิด_ดับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา ถ้าเราลองตามมันไปเรื่อยๆ จะทำให้จิตรู้สึกว่า ของในโลกนี้ทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้ ไม่มีของดี ของชั่ว มันจะมองข้ามไปทั้งหมด ไม่มีเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องถูก เรื่องผิด แต่มันจะมองข้ามช้อตไปสู่เรื่องเกิด เรื่องดับ เรื่องเหตุ เรื่องปัจจัย ถ้าใครตามสัมผัสกับมันได้เรื่อยๆ จนจิตมันเสพ มันคุ้น จนลงไปสู่สัญญา พอไปโกรธอะไร ก็จะรู้สึกว่าอย่าไปถือสาเลย เดี๋ยวมันก็ดับ พอไปอยู่ในสัญญาแล้ว ถ้ามันไปหลงอะไรปั๊บ มันจะหลงไม่ลึก จะรู้สึกว่าไม่ต้องไปถือสาอะไรหรอก เพราะมันเป็นอย่างนั้น มันสอนเราอยู่เรื่อยๆ แต่วิธีการจะรู้ตรงนี้นะ จะต้องเอาภาวะสดๆเท่านั้น ต้องเอาภาวะที่กำลังเกิดเดี๋ยวนี้ เพราะภาวะปัจจุบันมันจะเป็นภาวะขณะหนึ่ง ขณะหนึ่งของมันอยู่แล้ว แต่ภาวะขณะหนึ่งบางทีอาจจะสั้นบ้าง ยาวบ้างก็แล้วแต่มัน
ถ้าเราคิดว่าความสุขเกิด ความทุกข์ก็ดับ เราจะเกิดภวตัณหาสร้างแต่ความสุขให้เกิดขึ้นเยอะๆ เพื่อไม่ให้ความทุกข์เกิด แต่มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคิดว่าความสุขเกิด ความสุขก็ดับ ความทุกข์เกิด ความทุกข์ก็ดับ ถ้าเรามองให้ตรงว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ้งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่เอาไปทดแทนกัน ถ้าคุณเอาไปทดแทนกัน มันจะเกิดภาวะของแรงเหวี่ยง เหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา แต่ถ้าคุณเห็นว่าซ้ายก็ดับ ขวาก็ดับ คุณจะเกิดภาวะอยู่ระหว่างกลาง ไม่เหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา ซ้าย กับ ขวา คือ ชอบใจ และ ไม่ชอบใจ ถ้าเรารู้ว่าชอบใจเกิด แล้วชอบใจก็ดับ ไม่ชอบใจเกิด ไม่ชอบใจก็ดับ ถ้าจิตเรารู้อย่างนี้บ่อยๆ จิตจะเข้าสู่อุเบกขาเวทนา นี่คือปัจจัยให้จิตไม่เหวี่ยงซ้าย ไม่เหวี่ยงขวา จิตจะรู้ซื่อๆได้เป็น โดยไม่สะทก สะท้านกับมันเลย จะมาแบบร้ายๆ มันก็ดับตัวแบบร้ายๆ แต่เราไม่ไปทำตามนะ จะมาแบบดีๆ มันก็ดับแบบดีๆ เราก็ไม่ทำตามมัน เราจะทำตามแต่ละทีเมื่อเรามีเหตุปัจจัยต้องทำ เราก็เลือกทำแต่ที่ดีดี ไม่ต้องไปใส่ใจกับมัน เพราะทำดี ดีก็ดับ แต่ถ้าผลต่างกันนะ ฉนั้นเราก็เลือก ถ้าทำดี ก็เป็นกุศลทำให้จิตใจร่มเย็นเป็นสุข เพราะทำชั่ว ทำให้เราต้องเดือดร้อน สบสน วุ่นวาย มันทำให้กาย ใจเดือดร้อน ฉนั้นเราจึงทำดี แล้ววางดีเป็น ไม่ทำชั่วเพราะเราเห็นโทษของความชั่ว พอรู้อย่างนี้ปั๊บจิตจะเข้าใจว่าทำสิ่งนี้เพราะเห็นคุณ เห็นโทษมัน และวางมันเป็น ( ฉันทำสิ่งนี้เพราะฉันเข้าใจมัน ) และเห็นทางออกคือวางมันเป็น ฉนั้นการเห็นการเกิด การดับของมันบ่อยๆ จะทำให้เราวางตัณหา วางอุปาทาน หมายความว่าทุกอย่างเราไม่ได้ทำมันขึ้นมา ไม่มีเราทำมันขึ้นมาเลยนะ หูที่ได้ยินอยู่เนี่ย มันเป็นธรรมชาติทำให้ทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเนี่ย ธรรมชาติมันทำหมดเลย
ถ้าเราทำความรู้สึกสนใจกับปัจจุบันที่มันเกิด ดับๆ รู้เห็นการเกิด การดับของความเป็นขณะหนึ่งของปัจจุบันเรื่อยๆ มันจะลงไปสู่สัญญาเป็นอนิจสัญญา คือเห็นทุกอย่างไม่เที่ยง เราจะต้องทำให้มันเกิดอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นเราจะได้แต่สัญญาแบบเก่าๆ คือ ฉันพอใจอันนี้ ฉันก็ทำ ฉันไม่พอใจอันนี้ ฉันก็หนี มันก็จะเกิดภาวะที่พออะไรมากระทบปุ๊บ ก็เกิดการให้ค่าบวก ลบๆ อยู่อย่างนั้น เราจะเข้าใจเมื่อเราลดค่า.. ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง ที่เราต้องฝึกรู้ขึ้นมา เพื่อให้จิตตื่นขึ้นมารู้ตรงนี้ ไม่ใช่เพื่อทำลายความคิด เอาความสุข หนีความทุกข์ใดๆทั้งสิ้น เราต้องตื่นขึ้นมา เพื่อเรียนรู้ให้มันสอดคล้องกัน เพื่อปล่อย เพื่อวางทุกอย่างออก ให้มันอยู่ตามธรรมชาติของมัน โดยเราไม่รู้สึกว่าเรามีส่วนได้ ส่วนเสีย ส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น เพราะเค้าทำของเค้าเอง เค้าเป็นของเค้าเอง เค้าสลายตัวของเค้าเอง นี่เรียกว่าภาวะของการรู้สึกทำลายอนัตตา คืออัตตาตัวตนว่าเราจัดการมันได้ เราสั่งมันได้ เราบังคับมันได้
..อาศัยการกระทบ ดูซิว่ามันจะเป็นยังไง มันจะเกิดอะไร ดับตัวไปยังไงแค่เนี้ย...
..โลกของความคิด เป็นโลกของอดีต กับ อนาคต ไม่ใช่โลกของปัจจุบัน ปัจจุบันไม่ต้องคิด ฝึกรู้ตรงๆไปเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้น รับรู้ไปตรงๆ
เป็นการฝึกภาวะของตัวรู้ ผู้รู้ ผู้ดู ให้เข้มแข็ง สิ่งที่จะต้องรู้ ต้องดู อยู่เต็มไปหมดแล้ว ให้เจาะจงเฉพาะเรื่องที่กำลังเกิด จะทำให้จิตได้เรียนรู้อารมณ์จริง และอารมณ์จริงจะไปเกิดกับเวลาที่เกิดจริงๆ ซึ่งทั้งหมดจะรวมอยู่ที่ปัจจุบัน ภาวะทั้งหมดนี้ให้เราตื่นตัวรู้กับมันอยู่เรื่อยๆ
ถ้าดูตรงนี้เป็น อยู่ตรงกลางได้ ( ระหว่างรูปกับนาม ) ไม่ได้ห้าม ไม่ได้เบรค ไม่ได้ทำอะไรกับมันหรอก ตา หู จมูกลิ้นกาย ไม่ต้องไปหลับหู หลับตา ปล่อยมันเพื่อจะได้เรียนรู้การเกิดการดับของมันทั้งหมด เพื่อทำให้จิตมันคุ้น จิตมันเคย จิตมันก็วางเอง ภาวะของอารมณ์ที่เราจะให้มันสุข มันทุกข์ เราจะสอน จะสั่ง บอกมัน แต่มันก็ไม่เป็นไปตามเรา ภาวะที่มันเป็นไปตามวิถีทางของมัน เราก็ต้องปล่อยมันไป
วิถีทางของอารมณ์ทั้งหลาย ทั้งปวง ถ้าจับหลักมันได้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดแล้วสลาย ต้องให้จิตมันเห็นความจริงบ่อยๆ แล้วมันจะปล่อยเอง การปล่อยไม่ใช่เราไปปล่อย ไม่ต้องไปสั่งให้มันปล่อย แต่การสร้างเหตุให้มันปล่อยเป็นหน้าที่ของเรา หัดเห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง แล้วมันจะปล่อย แล้วมันจะมีอุเบกขาเวทนาเยอะขึ้น รู้เฉยๆ รู้ตรงๆ รู้แบบไม่แทรกแซง รู้แบบไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้แบบอิสระ รู้แบบหลุดพ้น ไ่ม่ใช่รู้แบบพัวพัน
ธรรมะบรรยายโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท กุมภาพันธ์ 2561 ณ ยุวพุทธิกสมาคมฯ
Sunday Oct 14, 2018
รู้สร้างขึ้น กับ รู้ธรรมชาติ
Sunday Oct 14, 2018
Sunday Oct 14, 2018
กลุ่มที่เราสร้างขึ้นมา ด้วยสัญญา และสังขาร สร้างความรู้สึกขึ้นมา เราสังเกตดู การฝึกแบบนี้ เราฝึกได้พักนึงเราก็จะเลิก เพราะมันทำขึ้น แล้วเราก็มีคาดการณ์หวังผลด้วย ทำไปแล้วมันจะต้องดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แต่บางทีทำไปแล้วมันกลับไม่ดี เราก็เลิก ถ้ามันดี เราก็ขยัน
...ต้องละการกระทำของตัวเองให้ได้ก่อน แล้วมารับรู้ที่ธรรมชาติมาทำให้เรา โดยง่ายๆ มันเป็นยังไง เป็นแบบไหน และจะฝึกรู้สึกกับมันได้ยังไง ถ้าเราทำนะ เราก็จะหวังผล ถ้าเรานักปฏิบัติ ยังละความรู้สึกที่เราทำขึ้นมาไม่ได้ เพราะมันมีตัวเราตั้งแต่เริ่มต้น มันก็มีตัวเราท่ามกลาง ก็มีตัวเราที่สุด ผลสุดท้ายมีตัวเราไปรับผล แล้วก็สะดุดที่ตัวเรา มีตัวเราเก่ง เราแน่ ..มันก็ละตัวตนกันไม่ได้ หรือ บางทีทำไปรู้สึกแย่ ไม่ไหว มันแก้ไม่ได้
...สิ่งจริงๆที่ไม่ต้องปรุง ที่มันเกิดโดยธรรมชาติ มันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ แต่เราไม่รู้จัก ไม่ได้ฝึกมีสติกับมัน เพราะว่าในธรรมชาติ วิญญาณ ตัวรู้ มันมีอยู่แล้วในขันธ์ 5 แต่เราลืมไป เรามาปรุง รู้ใหม่ เลยไปทับ รู้เก่า ปกติในการรู้ มันรู้ของมันอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ..สนใจความเป็น ขณะหนึ่งๆ ของธรรมชาติ อย่างหู ได้ยินเสียง ..มันดังเป็นขณะหนึ่งๆ แล้วก็ดับ ทางกาย มันเจ็บ มันปวด เมื่อย ..ยาวบ้าง สั้นบ้าง แล้วก็ดับ สังเกตดูดีๆเถอะ เราเบื่อ ก็เบื่อสั้นๆ เบื่อนู่น เบื่อนี่สักพัก ไปเอาอะไรหน่อย ก็ลืมไปแล้ว แล้วก็เบื่อต่อ ธรรมชาติที่มันเป็นขณะเดียว ที่มันทำอยู่แล้ว เราละเลยในการรู้มัน เนี่ยคือ ปัจจุบันขณะ เป็นขณะสั้นๆ ที่มันเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ไปเรื่อยๆ มันมีอยู่โดยตัวมันเอง แต่พวกเรา พอเรามาทำ เราจะมาสร้างความรู้สึก จะให้มันยาว จะเอารู้สึกตัวยาวๆ รู้สึกตัวนานๆ รู้สึกตัวต่อเนื่อง
...ฝึกรู้โดยไม่ต้องทำ...
ธรรมะบรรยายโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท
Wednesday Oct 10, 2018
สำรวมอินทรีย์
Wednesday Oct 10, 2018
Wednesday Oct 10, 2018
อะไรเกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้หัดรู้ไว้ๆ มีสติระลึกรู้ไว้ อะไรกำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง รู้ไว้ๆ แล้วเดี๋ยวมันจะเริ่มแยกเอง รักษาศีล สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ สำรวมดีๆ... ใจ มีหน้าที่รู้อารมณ์ นอกนั้นไม่ใช่ใจ มันเป็นแขกมาหาใจ มาเยี่ยมบ้านเฉยๆ
มันมีเหตุ_ปัจจัยเหมาะสมมันก็เกิด หมดเหตุ_ปัจจัยเมื่อไรก็สลายตัว ไม่ต้องไปซีเรียสกับมัน ไม่ต้องไปทำอะไรมันเลย ..อยู่กับภาวะของตัวรู้อารมณ์ ..ถ้าเรามีสติอยู่กับการรู้อารมณ์ปุ๊บ มันก็เกิดการสำรวมอินทรีย์เสร็จเรียบร้อย
ตัวที่รู้เกิด รู้ดับ นี่คือใจ สิ่งที่เกิด ที่ดับคือสิ่งที่จรมาหาใจ
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เกิดขึ้นมา มีสติระลึกถึงการรับรู้มัน แค่นั้นเอง รู้เห็น การเกิด-การดับๆ มันจะเห็นเลยว่าใจเป็นคนเห็น สิ่งที่เกิด ดับ มันคือ แขกมาเยือนบ้าน แค่นั้นแหละ มันจะดับเร็ว ดับช้า มันต้องดับ มันอยู่ไม่ได้ ฉนั้นเราไม่ต้องไปเดือดร้อน ไม่ต้องไปกลัว ความคิด ก็ไม่ต้องไปกลัวมัน แต่อย่าไปสู้กับมันเท่านั้นแหละ ฝึกสติให้ดีๆ ฝึกสติให้ระลึกถึงการรู้ จะรู้อะไร ก็ให้มันรู้ไป แค่นั้นแหละ อยู่กับการรู้ อยู่กับการรับรู้อารมณ์แต่ละขณะ ...ใช้สติในการสำรวมอินทรีย์ พอเรารู้บ่อยๆ รู้อย่างมั่นคง อะไรตามมา; สมาธิ คือความตั้งมั่น
ธรรมะบรรยายโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท ณ ดอยสะโง้ว
Friday Oct 05, 2018
วางใจให้ถูก
Friday Oct 05, 2018
Friday Oct 05, 2018
ถ้าใครทำจิตให้มีความสุขกับการที่ฉันได้รู้ รู้อารมณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แบบไหนก็ตาม ก็จะรู้จักวิธีภาวนาได้หลากหลาย เพราะรูปแบบของใจเป็นที่รู้อารมณ์ อะไรที่มาหาเค้า เป็นเครื่องมือใช้ฝึกได้หมดเลย ถ้าเรารู้สึก เราโกรธ อ๋อ! เราได้เห็นความโกรธด้วย มีความสุขกับการได้เห็นความโกรธด้วย เป็นไปได้มั้ย?
ให้มีความสุขกับการได้เห็นตัวเองนี่แหละ วางจิต วางใจให้ถูก ถ้าวางใจให้ถูก ได้เห็นปั๊บ จะภาวนาได้ง่าย ภาวนาได้เร็ว จับหลักได้ง่าย จิตจะเบา เพราะมันไม่แบก กายจะเบา แล้วจิตจะอ่อนโยน กายลหุตา จิตลหุตา มันจะคล่องแคล่ว
ธรรมะบรรยายโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท 13 ต.ค. 60 ณ เบิกฟ้าธรรมาศรม
Wednesday Oct 03, 2018
ผู้รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้ : 160761
Wednesday Oct 03, 2018
Wednesday Oct 03, 2018
… การเคลื่อนไหวธรรมดาๆที่เรามีอยู่นั่นแหละ ที่เราเคยเคลื่อนไป เคลื่อนมา อันนี้มันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้เอาตัวรู้เข้าไปรู้มัน เฉยๆ อ้าว!! เราโกรธ เกลียด รัก ชังในแต่ละวัน คุณมีอยู่มั้ย? มีอยู่ตลอดใช่มั้ย? แต่คุณไม่ได้เอาตัวรู้ไปรู้มัน คุณเลยเป็นไปตามมัน เพียงแต่คุณรู้จักแยกให้ชัดๆว่า เออนี่โกรธนะ นี่รู้โกรธนะ ให้เป็นแค่นี้แหละ ตัวรู้นั่นแหละ คือ ตัวใจ … ที่มาสร้างจังหวะ เดินจงกรม เพื่อจะแยกตัวรู้ออกมา ธรรมะบรรยายโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท 16 ก.ค. 61 ณ เบิกบานบุรี
Thursday Sep 27, 2018
ภาวะตัวรู้ : 130860
Thursday Sep 27, 2018
Thursday Sep 27, 2018
ตัวรู้ก็มีเหตุเกิดของเค้า มีเหตุดับของเค้า เราก็แค่อาศัยเค้าเท่านั้นเอง ยึดก็ไม่ได้ เหมือนตัวคิด ตัวรัก ตัวโลภ ตัวโกรธ ตัวหลง เราไปยึดเค้าไม่ได้ เพราะเค้ามีเหตุของเค้า อันนี้ กับ อันนี้กระทบกัน จึงเกิดสิ่งนี้ ฉนั้นตัวรู้มันจะเกิดจากการกระทบ และตัวรู้นี้มันจะมีแค่สั้นๆ ...รู้ เกิดเมื่อมีการกระทบกับอายตนะ ...รู้ อะไรก็ตามที่เกิด_ดับ ...รู้ ไม่ผ่านการคิด ...รู้ ไม่มีกาลเวลา มีตลอด ยกเว้นตอนหลับ ...รู้ ในปัจจุบันนี้เท่านั้น บางคนไปทำ ตัวรู้ ขึ้นมา ไม่ถูกนะ แต่ไปรับรู้ ที่มันเกิดขึ้นมา นี่ถูก ธรรมะบรรยายโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท 16 ส.ค. 60 ยุวพุทธิกสมาคมฯ
Friday Sep 21, 2018
Tuesday Sep 18, 2018
รู้ขณะเดียว
Tuesday Sep 18, 2018
Tuesday Sep 18, 2018
เราชอบไปติดอยู่กับอดีต ติดกับอนาคต เราไม่ติดอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็ทำปัจจุบันนี้พลาด เพราะปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีสติ ไม่ค่อยมีปัญญาในการไตร่ตรอง พิจารณาว่าอะไรควรเอา อะไรไม่ควรเอา อะไรควรทำ ไม่ควรทำ ทำไปมั่ว สร้างปัญหาให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ปัจจุบันมีทั้ง 6 ทางให้เราได้สัมผัส...ปัจจุบันนี้ไม่ต้องทำนะ มันจะทำให้เราเลย
ธรรมะบรรยายโดย พระอาจารย์กระสินธุ์ อนุภัทโท 13 มิ.ย. 60